วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552

กลัว ....


"ในความรักนั้นไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ได้ขจัดความกลัวเสีย ด้วยว่าความกลัวทำให้ทุกข์ทรมาน และผู้ที่มีความกลัวก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์ "

(ยน 4:18 TKJV)

พื้นฐานจิตใจของผมเป็นคนที่มีความกลัว

เมื่อก่อน หลายๆ ครั้งที่เกิดความกลัว "จิตสังหรณ์" ก็มักจะเริ่มทำงาน

ลงท้ายเหตุการณ์ก็เกิดขึ้น ตรงกับที่สังหรณ์ใจไว้จริงๆ

ปู่กับย่ามักจะถามผมว่า "ถ้าพ่อมีน้องอีกคน ขิงจะคิดยังไง"

ผมก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะพ่อกับแม่ ก็มีผมเพียงคนเดียว จะไปมีน้องอะไรเพิ่มได้ล่ะ

แต่ก็สังหรณ์ใจ ว่าพ่ออาจจะมี "แฟน" อีกคนก็ได้

ตอนนั้นก็กลัว กลัวว่าตัวเองจะเป็นเด็กบ้านแตก ครอบครัวไม่อบอุ่น

เลยพยายามข่มความกลัว ด้วยการเชื่อมั่นว่าพ่อรักเดียวใจเดียว

แต่แล้วสิ่งที่สังหรณ์ก็เป็นจริง เมื่อวันหนึ่งผมกับแม่ก็เจอพ่อกับ "น้องๆ" และ "แม่" ของน้องๆ โดยไม่ได้นัดหมายหรือตั้งใจไว้

ทั้งผมและแม่เสียใจ วันนั้นผมก็เอาแต่คิดว่า "เราเป็นเด็กมีปัญหา ครอบครัวไม่อบอุ่น"

(ทุกวันนี้ไม่คิดอะไรมากแล้วครับ และน้องของผม 2 คน ผมก็รักและเป็นห่วงในฐานะพี่คนโตจริงๆ)

เมื่อครั้งแม่ไม่สบาย ปวดเนื้อปวดตัวจนต้องไปหาหมอ

หมอเอกซ์เรย์ดูแล้ว ปรากฎว่าเจอก้อนเนื้อ (Seed) กดทับเส้นปราสาท ไม่ใช่เนื้อร้ายอะไร แต่ต้องผ่าตัดเพื่อจะได้หายปวด

ผมกังวลบ้าง แต่ในใจก็คิดว่าผ่าตัดแป๊บเดียวเดี๋ยวก็หาย

แต่อยู่ดีๆ ก็กลัว กลัวว่าแม่จะไม่อยู่ด้วย

เมื่อผ่าตัดเสร็จแล้ว ทุกอย่างก็ดูดีไม่มีปัญหาสำหรับแม่ ขยับตัวทำอะไรได้ไปตามเรื่อง

ยกเว้นเรื่องเดียว

ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอด

ไม่สามารถหายใจด้วยตัวเองได้

เป็นแบบนี้ได้เกือบครึ่งปี จนอาการของแม่ทรุดลง จนกระทั่งแม่ก็จากไปจริงๆ

แล้วก็ได้รู้ความจริงว่า การผ่าตัดครั้งนั้น เป็นการผ่าตัดที่ท้ายทอย ซึ่งเป็นจุดรวมเส้นปราสาทหลายๆเส้น

หมอ ... ตัดเส้นปราสาทหายใจเข้าไป

มิน่าล่ะ อาการทุกอย่างเลยไม่มีปัญหา ยกเว้นว่าหายใจไม่ได้อย่างเดียว

ซึ่งแค่อย่างเดียวที่ว่า ก็เตรียมจบชีวิตได้เลย แค่มันจะช้าหรือจะเร็ว เท่านั้นเอง

ทุกๆ ครั้งที่ "จิตสังหรณ์" ทำงาน ผมก็มักจะเริ่มกลัวอะไรที่มันไม่น่าเป็นไปได้

แต่มันก็เป็นไปได้ อยู่บ่อยๆ

เมื่อก่อนผมก็เป็นหมอดูไพ่ยิปซีกับเค้าเหมือนกัน

เคยมีญาติห่างๆ มาดู ปรากฎว่าเขาจับไพ่ Tower ในตำแหน่งที่ "อันตราย" มากได้

ไม่ถึงสองสัปดาห์ เขาก็เสียชีวิต

เวลานั้น "จิตสังหรณ์" ของผม มาพร้อมกับความกลัว

มันมีแต่เรื่องแย่ๆ และยิ่งทำให้ผมอยู่กับความกลัวมากยิ่งขึ้น

พอเมื่อมาเชื่อพระเจ้านั่นล่ะครับ ที่ผมเริ่มจะเข้าใจว่า "สัมผัสที่ 6" (Sixth Sense) ไม่ใช่เรื่องของความกลัว แต่เป็นเรื่องของความรัก

วันหนึ่ง ผมลองพูดภาษาพระวิญญาณด้วยตัวเอง ตั้งใจว่าจะพูดให้ได้สักครึ่งชั่วโมงตามที่ผู้นำเค้าหนุนใจมา

ตอนนั้นผมไม่เคยคิดว่าจะพูดอะไรอย่างนั้นได้นานๆ หรอก คิดว่าคงเป็นอะไรที่น่าเบื่อ

แต่เมื่อพูดเข้าจริงๆ เริ่มเกิดความรู้สึกกลัว ... รู้สึกว่าห้องที่เราอยู่ไม่ได้มีแค่เราคนเดียว

ดันปิดไฟมืด เปิดแต่ไฟโต๊ะอ่านหนังสืออีก

กลัวมากๆ ไม่เคยกลัวแบบนี้มาก่อน เหมือนจะมีอะไรมาอยู่กับตัวเรา

แต่ชั่วขณะหนึ่ง ความกลัวหายไป และสัมผัสได้ว่า "วิญญาณ" ที่อยู่กับเรา เป็นวิญญาณที่ "สะอาด"

ยิ่งพูดภาษาพระวิญญาณ รู้สึกยิ่งถูก "ล้าง" ให้สะอาด

รู้สึกได้ว่ามันคือความ "รัก" ที่โอบล้อมชีวิตของเราไว้

หลังจากวันนั้น ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิม

"จิตสังหรณ์" ถูกใช้เพื่อรับการนำจากพระเจ้า ซึ่งเรียกกันแบบคริสเตียนว่า "การทรงนำ"

การนำของพระเจ้า เต็มไปด้วยความรัก

***

ทำไมความรักของพระเจ้าจึงสมบูรณ์แบบ นี่คือสิ่งที่ผมสงสัย จนวันหนึ่งที่ผมได้เข้าใจถึงเรื่อง "ตรีเอกานุภาพ" อย่างแท้จริง

พระองค์ทรงเป็น "แหล่งแห่งความรัก" ได้ เพราะว่าใน 3 พระภาคของพระองค์นั้น ทรง "รักซึ่งกันและกัน"

พระบิดารักพระบุตร พระบุตรรักพระบิดา พระวิญญาณเชื่อมความรักของพระบุตรและพระบิดา

ความรักของพระองค์จึงไม่มีเงื่อนไข เพราะเงื่อนไขของความรักที่สำคัญคือ "การได้รัก" และ "การได้ถูกรัก" สมบูรณ์แบบแล้วในตรีเอกานุภาพ

พระเจ้า จึงไม่ใช่พระเจ้าที่กลัวคนไม่รัก เพราะต่อให้มนุษย์ไม่รักพระองค์ พระองค์ยังทรงไว้ซึ่งความสมบูรณ์แบบในความรัก

และเพราะพระองค์สมบูรณ์แบบเช่นนี้แหละ พระบิดาจึงกล้าส่งพระบุตรมาเป็น "ค่าไถ่" ความบาปของมนุษย์ทั้งหมด

และพระบุตรก็กล้าที่จะให้พระวิญญาณ อยู่กับทุกคนที่เชื่อ เพื่อเขาจะได้มี "ผู้ช่วย" ตลอดการดำเนินชีวิตบนโลกนี้

***

ชีวิตที่ผ่านมา ทำให้ผมพอเข้าใจถึงแรงขับเคลื่อน 2 อย่างหลักๆ สำหรับชีวิตมนุษย์

นั่นคือความกลัว และความรัก

และแรงขับเคลื่อน 2 แบบนี้ ให้ผลลัพธ์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

ถูกขับเคลื่อนด้วยความกลัว ชีวิตก็จมอยู่กับความทรมาน

ถูกขับเคลื่อนด้วยความรัก ชีวิตมีเสรีภาพ

"ความกลัวทำให้ทุกข์ทรมาน" สิ่งที่พระคัมภีร์พูดไว้คือเรื่องจริง ที่เราทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้นกับชีวิตเรา

แต่เรื่องจริงอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ เราทุกคนก็มักจะตกอยู่ในความกลัวเสมอ

อิสราเอล หลังจากตกเป็นเชลยมานาน ผ่านความทุกข์มานับครั้งไม่ถ้วน พวกเขาก็ "กลัว" ที่จะกลับไปเป็นอย่างเดิมอีก

การยึดพระบัญญัติของพวกเขาอย่างเคร่งครัด กระทำไปเพราะความกลัวที่จะกลับไปเป็นอย่างเดิมอีก

ปัญหามันอยู่ตรงนี้

ยิ่งกลัว ก็ยิ่งขาดสติ ยิ่งขาดสติ ก็กระทำสิ่งต่างๆ อย่างไร้สติ

ถ้าการยึดพระบัญญัติกระทำไปด้วยความรัก พวกเขาคงไม่ต้องพยายามเพิ่มกฎเกณฑ์ที่ "เกิน" กว่าพระเจ้าสั่ง

แต่เพราะความกลัว ความเคร่งครัดจนเกินพอดีจึงเกิดขึ้น และสุดท้ายก็กลายเป็นการบิดเบือนความหมายที่แท้จริงของพระบัญญัติไป

ซึ่งสิ่งเหล่านี้พระเยซูไม่เห็นด้วย และทรงใช้เวลาอย่างมากในการ "เปลี่ยน" ความคิดคนในยุคนั้น

สุดท้ายแล้ว แม้สิ่งที่เรากลัวจะเป็นสิ่งที่ถูก แต่เมื่อแรงขับเคลื่อนมันมาจากความกลัว ยังไงก็จบลงที่การทำผิดอยู่ดี

***

"เรารัก เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน"

พระเจ้ารักเรา นี่ก็เป็นเหตุผลมากพอแล้วที่เราจะหลุดจากความกลัว

และก็เป็นเหตุผลที่เราไม่ควรขับเคลื่อนผู้อื่นด้วยความกลัวด้วยเช่นกัน

มันอาจจะได้ผลในระยะสั้น แต่ในระยะยาวมีแต่เสียกับเสีย

เหมือนกับผม ... ที่หลายๆ ครั้ง "จิตสังหรณ์" และ "ความกลัว" ก็มักจะผุดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ

ยังอยู่ได้ก็เพราะพระคุณพระเจ้าล้วนๆ เลย

หุๆๆๆๆ อย่าปล่อยให้ "จิตสังหรณ์" ของขิงทำงาน

อาจจะเกิดการ "สังหาร" ก็ได้

5555

วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2552

ยิ่งควบคุม ยิ่งสูญเสียการควบคุม


มนุษยชาติพยายามควบคุมธรรมชาติ และนำธรรมชาติมาอยู่ภายใต้การควบคุมของมนุษย์

ซึ่งก็ประสบความสำเร็จ แต่ไม่ยั่งยืน

เพราะทุกๆครั้งที่มนุษย์พยายามจะควบคุมธรรมชาติ ธรรมชาติก็มักจะมี "การโต้กลับ" ที่มนุษย์เกินควบคุม

มนุษย์ทำเขื่อนได้ แต่วันหนึ่งธรรมชาติก็เล่นตลก ใส่น้ำมามากเกินจนเขื่อนแตกได้

มนุษย์ร้อน เลยสร้างแอร์ แต่เพราะแอร์เช่นกัน ที่ทำให้โลกร้อนขึ้น

ดูเหมือนจะควบคุมอะไรได้ แต่นับวันก็ยิ่งสูญเสียการควบคุม

การปกครองก็เช่นกัน

"เผด็จการ" อาจดูเป็นอะไรที่คุมทุกอย่างไว้ในมือได้ดีที่สุด

แต่วันหนึ่งมันก็จะพังทลาย

จิ๋นซีฮ่องเต้ ควบคุมคนนับแสนสร้างกำแพงเมืองจีน

แต่หลังจากยุคของพระองค์ ราชวงศ์ก็ล่มสลาย เพราะประชาชนทนการกดขี่ไม่ไหว

อังกฤษ พยายามจะควบคุมอาณานิคมอเมริกาให้อยู่หมัด
สุดท้ายก็ไม่สามารถต้านทานกองทัพอเมริกาได้ในที่สุด

ฮิตเลอร์ หวังจะควบคุมโลกทั้งโลก แต่จุดจบก็จบที่การฆ่าตัวตายในห้องลับ

มาร์กอส คุมฟิลิปินส์ยาวนานนับ 10 ปี ภายใต้การหนุนหลังของอเมริกา สุดท้ายก็โดนประชาชนขับไล่

บุชคนลูก อยากคุมอิรักไว้ในมือ สุดท้ายก็ต้องค่อยๆ ถอนทหารออกไป

และนโยบายก็เปลี่ยนเมื่อบารัค โอบามาเป็นประธานาธิบดี

สุดท้ายแล้ว มนุษย์ต้องยอมรับว่า จริงๆ เราคุมอะไรไม่ได้หมดทุกอย่าง

เราไม่ได้เกิดมาเป็น "ทุกอย่าง"

เราเกิดมาเป็น "บางอย่าง" เพื่อผลกระทบต่อ "ทุกอย่าง"

คนที่อยากเป็น "ทุกอย่าง" จึงมีชีวิตที่สุดจะเหนื่อย เพราะต้องทำ "ทุกอย่าง"

แต่คนที่รู้ว่าตัวเองเป็น "บางอย่าง" ก็ทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

สิ่งที่ทำไม่ได้ ให้คนที่เค้าทำได้ทำไป

พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน

ยิ่งควบคุม ก็ยิ่งเสียการควบคุม

เสียอย่างแรก คือเสียการควบคุมตัวเอง

ควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็คิดไปได้เรื่อยๆ ว่าคนนั้นจะเป็นอย่างนั้น คนนี้จะเป็นอย่างนี้

ลืมคิดไปว่า แล้วตัวเราเองตอนนี้เป็นยังไง

เสียอย่างที่สอง คือคนเสียศรัทธา

ผู้ที่เดินตามคนอื่นด้วยศรัทธา แปลว่าเค้าใช้จิตอิสระ (Freewill) ของเค้าในการเดินตาม

แต่เมื่อเค้าสัมผัสได้ว่า ผู้ที่เค้าเดินติดตามเริ่มรุกล้ำพื้นที่ Freewill ของเค้า ศรัทธาที่สั่งสมมาจะเริ่มสูญเสีย

ถ้าคนๆ นั้นจิตสำนึกผิดชอบดี ก็คงแค่ถอนตัวไปแบบเงียบๆ ไม่ขอตามอีก

แต่ถ้าคนๆ นั้นสั่งสมความแค้นไว้ด้วย ก็คงได้ประหัตประหารกันไม่รู้จักจบ

"สุดท้ายแล้ว มนุษย์ต้องยอมรับว่า จริงๆ เราคุมอะไรไม่ได้หมดทุกอย่าง"

ผู้ปกครอง เป็นเรื่องของหน้าที่ มีขึ้น ก็มีลงได้

แต่ "สาวกพระเยซู" คือตัวตนของเรา ที่อยู่กับเราจนวันสุดท้ายบนโลกนี้

พระคริสต์ครอบครองหัวใจ เราก็ควรครอบครองหัวใจ

หัวใจ ใช้อะไรขับเคลื่อนก็ไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ความรัก

เลิกควบคุม และให้พระคริสต์ครอบครองเถิด

เพราะยิ่งควบคุม ก็จะยิ่งสูญเสียการควบคุม

Get started!

ลองมี Blog ของตัวเองบ้าง
จะได้เสริมสร้าง "สังคมอุดมความเห็น" ให้เจริญขึ้น
5555
ทุกๆความเห็นมีคุณค่า เพราะกว่าจะเขียนได้ก็ต้องคิดมาก่อน
ถ้าเขียนแล้วงง คงไม่กล้าให้ประชาชีอ่านหรอก
จริงมั๊ย?
เรื่องวันนี้ของผมคงไม่มีอะไรมาก นอกจากเรื่องที่ประชาชนชาวไทยกลุ้มกันอยู่
"คน" คนนั้นเค้าเก่งจริงๆ
พูดจากผิด จนเป็นถูกได้
สร้างศรัทธาจนเกิดแฟนพันธุ์แท้ได้
มีเงินมากจากไหนก็ไม่รู้ มากจนปลุกระดมคนได้ขนาดนี้
เก่งว่ะ!
นับถื๊อ ... นับถือ
ส่วนตัวผม ผมคิดว่ามีอาชีพสองอย่าง ที่หาเงินได้เยอะไม่รู้จบ
นั่นคือนักการเมือง กับนักการศาสนา
เพราะทั้งสองอาชีพนี้ คือการ "เล่น" กับศรัทธา และความหวังของคน
เรียกศรัทธาได้ ก็ระดมเงินได้
ถ้าสร้างแฟนพันธุ์แท้ให้ยอมตายถวายชีวิตได้ ก็หาเงินได้ไม่รู้จบ
เคยคิดอยากจะทำให้ได้อย่างนี้บ้าง
แต่แหม ... เสียดาย เรามันคนพูดไม่เก่ง
เรามันคนไม่ชอบขี้โม้
เรามันคนปากเสีย (หุๆๆๆ) เห็นอะไรไม่จริง เราก็ว่าไม่จริง
เราไม่ค่อยชอบพูดกับคนว่า "Believe me"
แต่เราจะพูดเสมอว่า "Believe the Bible"
สงสัยจะจนต่อไป 5555 เพราะคุณสมบัติไม่ผ่าน กับการเป็นนักการเมือง หรือนักการศาสนา
คนที่พูดขนาดนั้นได้ ผมว่ามันเป็น Gift ที่มาจากพระเจ้าเลยล่ะ
เป็น Gift ที่เป็น "ตัวตน" ของเค้าด้วย
ขึ้นอยู่กับตัวเค้าเองเลยล่ะ ว่าจะใช้มันเพื่ออะไร
เพื่อพระเจ้า ... จำเริญทั้งตัวเค้า และผู้ตาม
เพื่อตัวเอง ... จำเริญที่ตัวเค้า แต่วอดวายที่ผู้ตาม
และวันหนึ่งเค้าก็จะวอดวายเองด้วย
เพราะพระเจ้ายุติธรรมจนถึงที่สุด และก็รักจนถึงที่สุด
ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการอธิษฐานเผื่อประเทศนี้ ณ เวลานี้
รู้สึกจริงๆ ว่าพระเจ้ากำลัง "ล้างบาง"
ต้องอดทนกันหน่อย เพราะวิกฤตครั้งนี้ "แรง" จริงๆ
คิดไปคิดมา ขิงว่าขิงขอเป็น "นักอธิษฐาน" ดีกว่า
ไม่เอาแล้วนักการเมือง ไม่เอาแล้วนักการศาสนา
กลัวจะรับผิดชอบไม่ไหว
5555
จบก่อนล่ะ Bye!