วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552

โลกแห่งความตั้งใจ กับโลกแห่งความจริง

โลกแห่งความตั้งใจ เริ่มต้น ด้วยประโยคบอกเล่า


โลกแห่งความจริง เริ่มต้น ที่ประโยคคำถาม


โลกแห่งความตั้งใจ บอกว่าเรา ควรจะเป็นอย่างไร


โลกแห่งความจริง ไม่บอกอะไร จนกว่าคุณจะบอกตัวคุณเองได้ ว่าคุณเป็นใคร


โลกแห่งความตั้งใจ เริ่มต้นด้วยฝันสุดสวย จบลงด้วยน้ำตา


โลกแห่งความจริง เริ่มต้นที่ฝันสลาย จบลงด้วยชีวิตที่เข้าใจโลกมากขึ้น


โลกแห่งความตั้งใจ บอกว่าสิ่งที่เรายึดถือ คือคำตอบสุดท้าย


โลกแห่งความจริง บอกว่าถ้ามันไม่เวิร์ค ก็อย่าไปยึดติด


โลกแห่งความตั้งใจ ทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจ จบลงอาจไม่ได้อย่างที่ตั้งใจ


โลกแห่งความจริง ใช้ความตั้งใจและความเข้าใจควบคู่กัน


โลกแห่งความตั้งใจ สอนให้เราเรียนสูงๆ จะได้งานดีๆ เงินเดือนเยอะๆ


โลกแห่งความจริง สอนให้เราหาโอกาส และใช้มันอย่างชาญฉลาด


โลกแห่งความตั้งใจ สนับสนุนให้คนเดินตาม Pattern


โลกแห่งความจริง ถ้าคุณเดินตาม Pattern คุณคือ Nobody ไม่ใช่ Somebody


โลกแห่งความตั้งใจ อยากที่จะเป็น "ทุกอย่าง"


โลกแห่งความจริง คุณก็เป็นแค่ "บางอย่าง"


โลกแห่งความตั้งใจ ตั้งใจกับหลากหลายวัตถุประสงค์ ในหนึ่งช่วงเวลา


โลกแห่งความจริง เลือกทำสักวัตถุประสงค์ ในเวลานั้นๆ


โลกแห่งความตั้งใจ บอกว่า เราต้องช่วยผู้อื่น


โลกแห่งความจริง ถามว่าคุณเป็นใคร มีอะไรจะช่วยเขาได้


etc. .....................


วันนี้เราอยู่ในโลกใบไหน?

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

แผล ... เรื่องที่ห้ามมั่ว

ตอนสมัยเรียนมัธยม ผมเล่น Volley Ball กับเพื่อน ...


เล่นเพราะความจำเป็น เพราะต้องสอบ Under ลูก Volley ให้ผ่าน


เล่นแล้วก็คันๆ ที่แขน ... ก็เกา ... เกา ... แล้วก็เกา


ตุ่มก็ขึ้น หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง


ในใจตอนนั้นก็คิดว่า "สงสัยจะต้องบีบ ให้หนองมันออกมา"


ก็บีบ ... บีบ ... บีบ .......


มันไม่ออก ... แถมตุ่มก็บวมโตขึ้น จนผิดปกติ


สุดท้ายก็ต้องไปหาหมอที่คลินิก ... โดน "เจาะ" ตุ่มนั้น เพื่อระเบิดเอาหนองที่อยู่ในตุ่มออกมา ... เจ็บตัวไปอีกกว่า 2 สัปดาห์ และก็โดนแม่ด่าว่า "ทำไมมือซนอย่างนี้"


เท่านั้นยังไม่พอ .... หลังจากหนองหายหมดแล้ว ผมก็อุตริจะรักษาแผลเอง เลยใช้แอลกอฮอล์บวกทิงเจอร์จัดการแผลต่อด้วยตัวเอง


ผลลัพธ์ที่ได้ ... ก็คือรอยแผลเป็นที่ท่อนแขนขวา ... เห็นได้จนทุกวันนี้


"แผล" เป็นเรื่องที่มั่วๆ กับมันไม่ได้ ... เพราะถ้ามั่วๆ ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ "สาหัส" กว่าเดิม


แผลใจ ... ก็คงไม่ต่างกัน


การไม่ยอมรับว่าชีวิตของเรา สามารถเกิดความอักเสบ เกิดแผลขึ้นได้ นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตที่สาหัสในภายภาคหน้าได้


(มก. 2:17) ครั้นพระเยซูทรงได้ยินดังนั้น พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า "คนปกติไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บต้องการหมอ เรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาปให้กลับใจเสียใหม่"


ไม่ว่าเราจะตั้งใจดี หรือตั้งใจแย่ขนาดไหน ... เราก็มีแผล กันได้ทุกคน


ทีนี้จะทำแผลยังไง ...


จริงๆ ร่างกายคนเรา มีธรรมชาติที่อัศจรรย์ ในการห้ามเลือดด้วยตัวของมันเอง ... แต่ถึงกระนั้น ... แผลหนักๆ ก็ต้องอาศัยการห้ามเลือดที่ถูกวิธี เพื่อไม่ให้เลือดออกจนหมดตัว


เวลาใจเป็นแผล ... คงไม่มีอะไรจะห้ามเลือดได้ดีกว่า "พระคุณ" ของพระเจ้า ... ซึ่งพร้อมเสมอ เพื่อชีวิตของเราทุกคน ที่เป็นคนเจ็บ


ห้ามเลือดได้ ... ก็เหลือแต่ขั้นตอนการฟื้นฟูสภาพ ให้กลับคืนดี


เป็นเวลาที่ต้องเลือก ... ว่าจะทำตัวดูดี ... หรือจะรับการรักษาจริงๆ


เมื่อก่อน ผมติดนิสัยที่จะชอบปิดพลาสเตอร์ที่แผลตลอดเวลา ... แล้วผลที่ได้ก็คือ ... แผลเน่า!


ท้ายที่สุด ก็พบว่าเราต้องสมดุล ... ระหว่างการเปิดแผล เพื่อให้แผลรักษาตัวมันเอง กับการปิดแผล ป้องกันการติดเชื้อซ้ำซ้อน


รวมถึงการใส่ยาที่แผล ... ซึ่งเป็นเวลาแห่งความปวดแสบปวดร้อนสุดๆ


ใจที่มันเป็นแผล ... จะแสร้งแสดงหน้าตาว่าดูดีอยู่ ... มันก็คงจะไม่มีอะไรดีขึ้น นอกจากจะกรัดกร่อน ให้แผลที่มีอยู่ "เน่า" กว่าเดิม


เรื่องแบบนี้เห็นแก่หน้าไม่ได้ ... คงต้องเห็นแก่ใจ ...


แผล ... ไม่ได้หายภายในวันเดียว ... และต่อให้ใส่ยาขนานดีขนาดไหน ... มันก็ไม่หายภายในวันเดียว


บางทีด้วยความใจร้อน ... มันก็อยากจะหายเร็วๆ อยากทำตัวใช้งานใช้การได้เร็วๆ เลยพยายาม "ฉุดคอเสื้อตัวเอง" ขึ้นมา ไม่สนใจหัวใจตัวเอง ... เดินหน้าต่อไป


ก็อาจจะพบกับความสำเร็จ ... พร้อมกับแผลฉกรรจ์ ... ที่ยากจะรักษา ไปพร้อมๆ กันก็เป็นได้


การรักษาแผล เป็นเรื่องที่ไม่ยาก และไม่ง่าย ... ปัจจัย อยู่ที่ความเข้าใจ และการยอมรับตัวเอง


มันน่าอับอาย .... ใช่! ... มันน่าอายมากๆ แต่ถ้าเราไม่ยอมอับอายกับมัน ... มันจะทำให้เราอับอายกว่าเดิม ... ในไม่ช้า


แต่ผู้ที่ยอมรับความอับอาย การรักษาก็เป็นของเขา!


(มธ. 5:3) "บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายจิตวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะอาณาจักรแห่งสวรรค์เป็นของเขา"


ใครจะไปรู้ ... ว่าในเวลาแห่งความเจ็บปวด ... ทำอะไรไม่ได้มาก ... ทำได้เท่าที่จะทำได้จริงๆ ... การเกิดผล อาจจะมาก กว่าเวลาที่เราบ้าพลังทำมันได้ทุกอย่าง ก็เป็นไปได้


ใครจะไปรู้ ... ว่าช่วงเวลาหลายๆ ปี ... ที่อาจารย์ยองกี โช นอนป่วยอย่างไม่มีวี่แววจะหาย ทำได้อย่างเดียวคือเทศนาวันอาทิตย์ ... เป็นช่วงเวลาที่คริสตจักร Yoido Full Gospel เจริญเติบโตอย่างมากมาย จนกลายเป็นคริสตจักรเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในเวลานั้น


และใครจะไปรู้ ... ว่าเมื่อ 2000 กว่าปีก่อน ... ชายคนหนึ่งที่เจ็บปวดที่สุดในโลก ... กลับให้ความเจ็บปวดที่เขาได้รับ เป็นการปลดปล่อยคนทั้งโลกให้หลุดพ้นจากบาปได้


แผลของเรา ... ก็เป็นพร ... ต่อผู้อื่นได้


และถ้ามันจะเป็นพรต่อผู้อื่นได้มาก .... มันก็คงต้องเป็น "รอยแผลเป็น" ที่เห็นได้ชัดๆ จับต้องได้ ... อย่างที่พระเยซู ... ทรงมีรอยตะปู ที่มือของพระองค์อย่างชัดเจน เป็นเหตุให้สาวกเชื่อ ... ว่าพระองค์ฟื้นจากความตายจริงๆ


จะไม่มีใคร "ทนพิษบาดแผลไม่ไหว" อย่างแน่นอน ... ถ้ารักษา ... อย่างถูกต้อง


Let His Mercy Heal Me & You!

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

ชีวิตมหัศจรรย์ ของ เรอัล กับ ลูมิ ตอนที่ 6

"อ้าว ... เป็ดกับหมีสองตัวนี้จะไปไหนกันเหรอ" ชายชราคนหนึ่งถามเรอัลกับลูมิ ที่กำลังเดินมาเป็นคู่ ด้วยท่าทางที่เอาจริงเอาจัง


"อ๋อ ... เราจะไปหาท่านเจ้าพิภพ ที่ภูเขาใหญ่นั่นไงครับ" เรอัลตอบ


"อืม ... ไปกันดีๆ นะ" ชายชราตอบ


เรอัลกับลูมิเดินผ่านชายชราคนนั้นไป และก็เริ่มสงสัยขึ้นมาในใจ


"เรอัล ... แปลกมั๊ย ที่คุณตาใจดีคนนั้น เขาคุยกับเราได้น่ะ" ลูมิถาม


"เออ .... ใช่!" เรอัลสะดุดคิดขึ้นมาได้


ทั้งสอง รีบหันหลังกลับไปหาชายชราคนเดิมทันที


"คุณๆๆๆ ตา ... ทำๆๆๆๆ ไม คุณตาคุยภาษาสัตว์กับพวกเราได้ล่ะครับ" เรอัลถาม ด้วยความสงสัย


"เรื่องมันยาวนะ ... หมีกับเป็ดเอ๋ย ... จะฟังตาเล่าหน่อยมั๊ยล่ะ" ชายชราใจดีตอบเรอัลกับลูมิ


"ได้ครับ/ค่ะ" เรอัลกับลูมิพร้อมใจกันตอบ


"ตาน่ะ ... เคยขอพรจากท่านเจ้าพิภพ ... ว่าอยากพูดคุยกับสัตว์ได้ จะได้ดูแลฝูงแพะแกะได้ด้วยความเข้าใจ"


"กว่าจะขึ้นไปหาท่านได้เนี่ยนะ ... โอย ... ลำบากน่าดู คิดแล้วก็ประหลาดใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมตอนตาหนุ่มๆ ตาถึงทำไปได้"


"งั้นคุณตาก็รู้สิค่ะ ... ว่าจะต้องเดินทางยังไง ... คุณตาบอกพวกเราหน่อยนะคะ" ลูมิอ้อนวอนชายชรา


"อืม ... มันนานมาแล้วน่ะสิ ... ตาว่าตาก็ลืมๆ ไปเยอะแล้วล่ะ" ชายชราตอบกลับมา


"แต่สิ่งสำคัญ ... ตาอยากจะบอกพวกเจ้าว่า หนทางที่ไกลแบบนี้ มีเพียงศรัทธา อาศา และเสน่หา เท่านั้น ที่จะช่วยพวกเจ้าได้"


"ศรัทธา อาศา เสน่หา ... มันคืออะไรเหรอครับคุณตา ... เกิดมาก็พึ่งจะเคยได้ยิน" เรอัลถามด้วยสงสัยสุดๆ


"เดี๋ยวพวกเจ้าก็รู้ ระหว่างเดินทางไปน่ะแหละ ... มา มา มา ... เดินกันมาท่าทางจะไกล ... มาพักพ่อนที่บ้านตาก่อนเถอะนะ มีต้นไม้ใหญ่ๆ ให้พวกเจ้านอนได้เต็มไปหมดเลย ... ดูสิ นี่ก็เย็นแล้วนะ อยู่กับตาที่นี่สักคืนหนึ่ง พรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อนะ ... หมีกับเป็ดเอ้ยย"


"ขอบคุณครับ/ค่ะ" เรอัลกับลูมิขอบคุณคุณตาใจดี ที่ให้ที่พักกับพวกมัน


"เดี๋ยวรอดูพรุ่งนี้เช้า ตามีอะไรจะทำให้พวกเจ้าประหลาดใจ" ชายชราใจดีทิ้งท้าย และก็เข้าบ้านไป


***


"คืนนี้เราดูดาวอะไรกันดี เรอัล" ลูมิถาม


"อืม ... ง่วง" เรอัลตอบ


"อารายยยย ... ปกติชั้นง่วงก่อนเธอนะ ... มาดูดาวกันเร็ววว" ลูมิคะยั้นคะยอ


"ไม่เคยเดินทางไกลขนาดนี้นี่ ... โอยยย ง่วง ... หลับ" เรอัลงัวเงีย ... และก็หลับไปหน้าตาเฉย


"หมี! ... หมีนี่ .... เค้างอนตัวเองแล้ว ... ตื่นๆๆๆๆๆ" ลูมิ ที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แม้จะเดินทางมากับเรอัลทั้งวัน พยายามปลุกเรอัล


แต่ก็คงจะไม่ได้ผลซะแล้ว ... เพราะเวลาหมีหลับ ... หมีหลับลึก (5555)


***

เช้าวันใหม่มาถึง ... เรอัลกับลูมิสะลึมสะลือตื่นมาพร้อมๆ กัน


และก็เห็นอะไรแปลกๆ ที่ชีวิตนี้ไม่เคยเห็นมาก่อนตรงหน้าทั้งคู่


"เหอ! ... อะไรเนี่ย" เรอัลงุนงง กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า


รูปร่างของมัน มีล้อ 2 สอง ด้านหลังมีล้อเล็กๆ อยู่ข้างๆ ล้อใหญ่ข้างละล้อ ทุกอย่างเชื่อมต่อกันจนเป็นชิ้นเดียวกัน


"งงใช่ไหมล่ะ" ชายชราใจดีถามเรอัลกับลูมิ


"คุณตาค่ะ ... ประหลาดจริงๆ ค่ะ แบบที่คุณตาสัญญาว่าไว้เมื่อคืนเลย" ลูมิตอบ


"เขาเรียกว่า จักรยาน" ชายชราเฉลยให้ฟัง


"จักรยาน!" เรอัลกับลูมิ พูดเป็นเสียงเดียวกัน ด้วยความงุนงงมากขึ้น


"อธิบายมาก ... พวกเจ้าก็งงเปล่าๆ มา ... ตาจะสอนพวกเจ้าให้ใช้ไอ้สิ่งนี้ ให้เป็นประโยชน์ก็แล้วกัน"


และแล้ว เราก็ได้เห็นว่า โคอาล่าตัวหนึ่ง หัดขี่จักรยาน ที่ออกแบบมาพิเศษพอดีๆ กับรูปร่างของโคอาล่าอย่างเรอัล โดยมีลูมิ ซ้อนท้ายอย่างปลอดภัย ในตะกร้าที่ติดด้านหลัง ซึ่งทำไว้เป็นพิเศษ


"คุณตาคิดและทำมันได้ยังไงครับ มันช่วยพวกเรามากเลยนะครับ สำหรับการเดินทางไกลๆ" เรอัลออกอาการดีใจ เมื่อเริ่มหัดขี่จักรยานจนคล่องตัว


"ไม่ได้คิดอะไรใหม่เลย ... ของๆ มนุษย์เขาใช้กัน ตาก็แค่เห็นว่าทางมันไกล เดินกันอย่างเดียวอาจจะเหนื่อย ไปไม่ถึงภูเขา"


"เอาล่ะ ... ตาทำมันมาเพื่อพวกเจ้า ... ไปให้ถึงภูเขาให้ได้นะ" ชายชรายิ้ม และเอ่ยคำอำลาเรอัลกับลูมิ


"ขอบคุณคุณตามากครับ/ค่ะ เราสัญญาว่า เมื่อเราทำสำเร็จ เราจะมาหาคุณตา เป็นคนแรกเลยครับ/ค่ะ" เรอัลกับลูมิ ให้คำสัญญากับชายชราใจดี


และการเดินทาง ก็ได้เริ่มต้นอีกครั้ง สำหรับเรอัล ลูมิ ... และจักรยาน ... ของคุณตาใจดี


ติดตามตอนต่อไปคร้าบบบบ

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

ความทันสมัย ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลง

เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับความจริงกันว่า คนเราทุกคนอยาก “ทันสมัย”


และชาติไทย คนไทยอย่างเรา ก็เป็นคนที่รักความทันสมัย ไม่น้อยหน้าชาติอื่นๆ


แต่ความทันสมัย ... ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ... และการยึดติดอยู่กับความทันสมัย ก็ทำให้การเปลี่ยนแปลงไม่เกิดขึ้นจริง


***


ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่สอนเราได้ดี ถึงความทันสมัย ที่มีมากมายในสังคมของเรา


แต่เป็นความทันสมัย ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงถึงแก่นแท้ ของความเป็นคนไทย


แท้ที่จริงแล้ว ประวัติศาสตร์ไทย ไม่ได้ถูกจดบันทึกกันอย่างเป็นเรื่องราวสักเท่าไหร่ ที่พอจะจดบันทึกได้ ก็เป็นการจดบันทึกบนพื้นฐาน “ฟัง” จากการบอกเล่ามาอีกต่อหนึ่ง


และถ้านับหลักฐานที่พอจะน่าเชื่อถือที่สุด ก็ไม่ไกลเกินสมัยกรุงศรีอยุธยา


แต่เมื่อวันหนึ่ง ชาติตะวันตก ... ผู้พกพาลัทธิชาตินิยม ... เข้ามาระราน และรุกรานหลายๆ ประเทศทางเอเชีย และกำลังจะคืบคลานเข้ามาสู่ประเทศไทย


เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้จริงๆ ที่สยามประเทศ ณ เวลานั้น ต้อง “ปรับตัว” ให้ทันสมัย เพื่อหลีกเลี่ยงข้อหาของการเป็น “บ้านป่าเมืองเถื่อน” ที่ชาติตะวันตก มักใช้เป็นข้ออ้างในการยึดครองประเทศ


ความทันสมัยอย่างแรก ที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน ก็คือ “การมีประวัติศาสตร์ชาติ” ที่ทำให้ชาติตะวันตกยอมรับได้ว่า ชาติไทยก็เป็น “อารยชน” ที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาช้านาน ไม่ได้เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนมาจากไหน


และแล้ว ... ประวัติศาสตร์ชาติก็เกิดขึ้น ... ด้วยศิลาจารึก หลักที่ 2 ซึ่งกล่าวอ้างถึงพ่อขุนรามคำแหง และความเจริญรุ่งเรืองของสุโขทัย


เป็นความทันสมัย ... ที่ต้องทำเพราะความจำเป็น เพื่อให้ชาติตะวันตก ยอมรับว่า สยามประเทศนั้น “ศิวิไลซ์”


และต่อเนื่องมาเรื่อยๆ จนถึงสมัยจอมพลป. พิบูลสงคราม ที่ประวัติศาตร์ชาติไทย ถูกกำหนดอย่างชัดเจนว่า คนไทย อพยพมาจากเทือกเขาอัลไต มีบรรพบุรุษร่วมกับชาวจีน มีความเจริญรุ่งเรืองต่อเนื่องสืบมา


ทั้งหมดทั้งสิ้น คือการสร้างความภาคภูมิใจในความทันสมัย ซึ่งข้อเท็จจริง แตกต่างอย่างสิ้นเชิง


แต่เมื่อความทันสมัย เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจเสียแล้ว ... ค่านิยมที่เกิดขึ้นตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยในสังคมไทย นั่นคือ “เราต้องก้าวตามสมัยให้ทัน”


***


รัฐนิยม เป็นกุศโลบาย ที่จอมพลป. พิบูลสงคราม ใช้เพื่อ “เปลี่ยมโฉม” ประเทศ ให้ทันสมัยขึ้น


ทั้งเรื่องการแต่งตัว (ใส่หมวก ใส่เสื้อเชิร์ต ห้ามนุ่งโจงกระเบน)


อาหารการกิน (ห้ามกินหมาก ใช้ช้อนส้อมในการกิน)


การบันเทิง (จำกัดการเล่นดนตรีไทย ให้หัดเต้นรำตามอย่างสากล)


นี่ก็คือความทันสมัย ... ซึ่งก็เป็นแม่แบบของคนไทยในยุคปัจจุบัน ที่จะหาคนที่นุ่งโจงกระเบนแบบแต่ก่อนได้ยากเต็มที หาคนกินหมากก็แทบไม่มีเหลือแล้ว และทุกๆ คนก็ใช้ช้อนส้อมกินอาหาร


การปฎิรูปการศึกษา สมัยรัชกาลที่ 5 (ค.ศ. 1868-1910) เป็นอีกหนึ่งความพยายาม ที่จะนำประเทศเข้าสู่ความทันสมัย ตามรูปแบบของชาติตะวันตก


“การศึกษาสร้างคน คนสร้างชาติ” คำกล่าวนี้เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน เมื่อคนที่ได้รับการศึกษาในรูปแบใหม่ กลับมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติในเวลาต่อมา


รวมถึงการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ที่เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1932 (พ.ศ. 2475)


***


แต่แล้วเมื่อหันมามองดูสังคมไทยในปัจจุบัน ที่เป็นผลลัพธ์จากความทันสมัย ที่วางรากฐานกันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 มีคำถามที่น่าถามตัวเราเองจริงๆ ว่า แท้ที่จริง เราเปลี่ยนแปลง หรือเราแค่ทันสมัย


ประชาธิปไตยที่เราภูมิใจ ... สุดท้ายแล้ว ก็ตกอยู่ในมือของผู้มีอิทธิพล ... และเราก็ยังเห็นอยู่เรื่อยๆ ว่าระบบอุปถัมภ์ ที่เป็นรากฐานแบบสังคมศักดินา ตั้งแต่สมัยอยุธยา ก็ยังอยู่ในสังคมของเรา ตราบจนทุกวันนี้ ด้วยรูปโฉมที่เปลี่ยนไป แต่แก่นแท้ภายในยังเหมือนเดิม


เมื่อมองดูชาติตะวันตก พวกเขาก้าวออกมาจากสังคมศักดินาอย่างสมบูรณ์แบบ ... เมื่อชนชั้นศักดินาถึงคราวถูกสั่นคลอน ด้วยชนชั้นใหม่ที่เกิดขึ้นในสมัยสมครามครูเสด นั่นคือชนชั้นพ่อค้า


การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ด้วยความคิดที่เปลี่ยนไป และความคิดที่เปลี่ยนไป ก็นำมาซึ่งรูปแบบใหม่ๆ ที่สอดรับกับความคิดที่เปลี่ยนไปนั้น


แต่สังคมไทย ... กลับเลือกที่จะเปลี่ยนแปลง บนพื้นฐานของความทันสมัย


นั่นก็เท่ากับว่า ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจริงๆ


ทำไม การศึกษาไทยถึงยังด้อยคุณภาพ ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเป็นประเทศแรกๆ ในแถบเอเชีย ที่เริ่มต้นปฎิรูปการศึกษา


ทำไม การรถไฟไทย ถึงยังช้าอืดอาดไม่ทันใจเหมือนหลายๆ ชาติในเอเชีย ทั้งที่ประเทศไทยเป็นประเทศแรกๆ ในแถบเอเชีย ที่เริ่มต้นระบบรถไฟ


ความทันสมัยซึ่งเกิดขึ้นมา ไม่ได้ให้ผลยั่งยืนถึงปัจจุบันเลยหรือ


หรือว่าปัญหา จะมาจากความคิดของเรา ... ที่ยังเหมือนเดิม?


***


สุดท้ายแล้ว เป็นเรื่องที่เราต้องยอมรับความจริงว่า คนไทยไม่เคยถูกสอนให้ค้นหาความเป็นตัวเอง


แต่มักจะถูกสอน ให้ทำตามที่สอนมา


“เดินตามผู้ใหญ่ หมาไม่กัด”

“อย่านอกครู”


เป็นเรื่องตลก ที่เราค้นหาความเป็นตัวเองไม่เจอที่โรงเรียน แต่กลับเจอมันใน Facebook


และซ้ำร้าย กว่าจะรู้ว่าตัวเองชอบอะไร เกิดมาเพื่ออะไร อาจจะต้องใช้เวลาถึงอายุ 30 ปี ถึงจะได้รู้จริงๆ


ในสังคมที่ฉาบไปด้วยความทันสมัยอันมากมายเช่นในยุคปัจจุบัน เราเคยสำรวจกันจริงๆ หรือไม่ ว่ายังมีความคิดล้าหลังอะไรมากมาย เป็นอิทธิพลในการดำเนินชีวิตหรือไม่


เส้นสาย ... ยังสำคัญกว่าความสามารถ ... ใช่หรือไม่


อยากซื้อใจคน ... ก็ใช้เงินซื้อเสียง ... ออกนโยบายให้ดูหรูหรา ลดแลกแจกแถมกันไม่อั้น ใช่หรือไม่


ไม่พอใจ ... ก็นินทา ... ต่อหน้าพูดอย่าง ลับหลังพูดอีกอย่าง ใช่หรือไม่


นี่คือความคิดล้าหลัง ที่มันยังคงอยู่ ... ซึ่งก็เป็นแค่ตัวอย่าง ในจำนวนความคิดอีกมากมาย ที่ทำให้ประเทศไทย เป็นได้แค่ประเทศที่ทันสมัย แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง


เราอยากเป็นคนทันสมัย หรือเราอยากเปลี่ยนแปลง ... นี่คือคำถามที่เราต้องถามตัวเราเองอย่างจริงใจ


และมาร่วมหาคำตอบด้วยกันในครั้งต่อไป กับหัวข้อ


“การเปลี่ยนแปลง นำมาซึ่งความร่วมสมัย”

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

ชีวิต กับการสร้างกล้ามเนื้อ

ตอนแรกว่าจะให้ชื่อว่า "ชีวิต กับการเล่น Weight" ... กลัวจะไม่เข้าใจกัน เลยเปลี่ยนชื่อเป็นอย่างที่เห็นนี่ล่ะครับ หวังว่าผู้อ่าน คงจะไม่คิดไปว่าขิงนี่เพาะกายจนตัวหนาไปแล้วนะครับ ... ไม่เอาล่ะ ... มันดูเก้... เกย์ (อี๋) ไปหน่อย 5555


หลังจากที่เริ่มกลับมาเอาจริงเอาจังกับการเล่น Fitness ... โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเล่น Weight ... พบว่าร่างกายตัวเอง Firm ขึ้นแบบเห็นได้ชัด ... ที่สำคัญก็คือ ... เสื้อผ้าเดิมๆ ที่เกือบจะต้องทิ้ง เพราะมันตัวเล็กเกินไป ก็สามารถหยิบกลับมาใส่ได้อีกครั้งหนึ่ง ... อะโหยยย ... แจ่มแจ๋ววว


ในขณะที่เล่นไป ... ก็คิดไปเรื่อยๆ ถึงชีวิตของเรา ... Weight ก็หนักปานนั้น ยังอุตส่าห์จะคิดอีกนะ 555


เรื่องแรกเลยก็คือ ... เล่น Weight แล้วห้ามหยุด ... เพราะถ้าหยุด หรือลดน้ำหนักลง ... เราจะกลับไปอ้วนเผละ แย่กว่าแต่ก่อนเล่นด้วยซ้ำ


ชีวิตในพระคริสต์ ... คงไม่ต่างอะไร ... เมื่อเราเลือกแล้วที่จะเดินมาในทางนี้ ถ้าหยุด ... หรือแม้แต่หย่อนยานลง ... "ไขมัน" มันก็จะมาสะสมในจิตวิญญาณของเรา ... ความกระวนกระวายตามวิสัยโลกเอย นิสัยบาปเดิมๆ ก็จะกลับมาเกาะกินชีวิตของเราไปเรื่อยๆ ตามความหย่อนยานของเรา


จากดินที่ดี ... ก็จะถอยตัวลงเป็นดินที่มีวัชพืช (มธ 4:7, 18-19)... ถอยลงมาแค่นี้ ก็เตรียมตัวโดนวัชพืชแย่งอาหารจนตายได้แล้วล่ะครับ


รู้ซึ้งถึงตัวเองจริงๆ ครับ ... เพราะเคยไม่เล่น Weight จริงจังมาพักหนึ่ง ... แม้ปากจะบอกว่าออกกำลังกาย ... แต่ร่างกายมันไม่ดีตามที่ปากดีไว้น่ะสิครับ ... ยิ่งเป็นคนที่ไขมันสะสมง่าย ... แต่ดันออกกำลังกายไม่จริงจัง ... มันก็ทำให้อ้วนไปพักใหญ่เลยทีเดียว


ขอบคุณพระเจ้า ที่พอกลับมาจริงจังอีกครั้ง ... มันก็เห็นผลลัพธ์ที่ดี่ขึ้น ... แม้จะยังไม่สุดยอด ... แต่เราก็รู้สึกถึงตัวเราเองได้ล่ะครับ ว่าเรากำลังอยู่บนทางไปสู่ความสำเร็จ


ใครเคยตัดสินใจเป็นผู้รับใช้พระคริสต์แล้ว ... อยากบอกว่า ท่านหยุดไม่ได้จริงๆ นะ ... มันมีผลกระทบอย่างรุนแรง ต่อจิตวิญญาณของท่านจริงๆ ... ถ้าท่านไม่รับใช้พระคริสต์ ท่านก็รับใช้สิ่งอื่น ... หรือผู้อื่น ... ที่ไม่ใช่พระคริสต์ ... สิ่งเหล่านั้น ก็เหมือนไขมัน มันจะเข้ามาเกาะกินชีวิตของท่าน ... ทีละเล็ก ทีละน้อย ... จนท่านอ้วน ... ขาดความคล่องแคล่ว ...


มันแตกต่างกันจริงๆ นะครับ สำหรับ "คนออกกำลังกาย" กับ "คนเคยออกกำลังกาย"


***


เรื่องที่สอง ... เล่น Weight ... ความท้าทายจริงๆ อยู่ที่ "น้ำหนัก" ที่ต้องเพิ่มมากขึ้น


แน่นอนว่าผมยังไม่สามารถไปเล่น Weight แบบ Free Weight ได้ (ฝีมือยังไม่ถึง) ... แต่แค่การเล่นกับเครื่องเล่น (Machine) ความท้าทายก็มีมากไม่ใช่น้อย


ที่มันท้าทาย ... เพราะว่ามันต้องออกแรงต้าน (Resistance) น้ำหนักเยอะขึ้นน่ะสิครับ


ความท้าทายของชีวิต ... บางทีอาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ ... แต่เป็นเรื่องเดิมๆ ที่มีความหนักหน่วงมากขึ้น


ผมเล่น Piano มากี่ปีก็จำไม่ได้แล้ว ... แต่วันนี้ก็ยังรู้สึกว่า มีบางอย่างที่เราต้องพัฒนา เพื่อนำไปสู่จุดของการ "ใช้การได้" มากกว่านี้ ... และเพื่อการ "ใช้การได้" มากกว่านี้ ... มันก็ไม่มีทางเลี่ยง นอกจากฝึกซ้ำ สิ่งที่ตัวเองเคยฝึกมาแล้ว ให้ควบคุมมันได้อยู่มือมากขึ้น


ความสนุกของการเล่น Weight จริงๆ ไม่ได้อยู่ที่เราไปเล่นเครื่องมือต่างๆ ให้ได้มากที่สุด ในหนึ่งรอบการเล่น แต่มันอยู่ที่เราจะเอาชนะน้ำหนัก ที่มากขึ้นได้หรือเปล่า กับเครื่องมือเดิมๆ ที่เราเจออยู่ประจำ ...


ชีวิตในหนึ่งวัน ... อาจจะไม่ได้เจอสิ่งใหม่มากมาย แต่สิ่งเดิมๆ ที่เจออยู่ ... มันหนักขึ้น ... เราพร้อมหรือไม่ ที่จะออกแรงต้านไปกับมัน


ไม่มีอะไรใหม่ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ (ปญจ.1:9) ... แทนที่จะไขว่คว้า หาความหวือหวาแต่เปลือกนอก ... กลับมาพิสูจน์ชีวิตจริง ... ซึ่งมีแก่นแท้จากภายในเสียจะดีกว่า ... แล้วเมื่อเราผ่านมันไปได้ ... ความหวือหวา รูปแบบภายนอก ... ก็จะเป็นสิ่งที่เราปรับเข้าหามันได้ อย่างชาญฉลาด


***


เรื่องสุดท้าย ... เล่น Weight ยังไงก็เจ็บครับ (55555)


อันนี้เรื่องจริง แบบไม่ต้องเอาใครที่ไหนไกลๆ มาเป็นพยานยืนยันหรอกครับ ผมเองนี่แหละ ที่กล้าพูดเลยว่า "เล่นจริง ... เจ็บจริง"


Stretching หลังการเล่น จึงจำเป็นมาก เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด ไม่ให้มากจนเป็นอันตรายต่อกล้ามเนื้อ ... แต่ไอ้ครั้นจะเล่นให้ไม่เจ็บ ... มันก็เท่ากับว่าไม่ได้เล่นเลยเสียด้วยซ้ำ


ชีวิต ... มันก็ต้องเจ็บ ... เป็นธรรมดาครับ ... ถ้าอยู่บนหนทางของการฝึกตนเอง


เพราะถึงวันนี้คุณเลือกที่จะไม่เจ็บ ... ไม่ออกกำลังกาย ... กินๆ นอนๆ ... วันหนึ่งคุณก็ต้องเจ็บ เพราะโรคภัยมันถามหา ... และจะเจ็บหนัก ... กว่าคนที่ออกกำลังกายเสียอีกครับ


ชีวิตที่ฝึกตนเอง เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเจ็บ ... แต่แน่นอน ... ว่าในขณะที่เจ็บ เราก็เรียนรู้ที่จะบรรเทาความเจ็บปวดด้วยตัวของเราเองได้ ... และยิ่งเมื่อเรามีพระเยซู ผู้ทรงเข้าใจในความเจ็บปวดของเรา พระองค์ก็จะทรงช่วยเราได้ในความเจ็บปวด ที่เกิดขึ้นทุกๆ วัน


พระองค์ ... ผู้ทรงมีรอยแผลติดตัวไปตลอดนิรันดร์ (หลักฐานคือรอยตะปู) ... เป็นพระเจ้าผู้ผ่านความเจ็บปวด ... ชนะความเจ็บปวด ... และเปลี่ยนความเจ็บปวด ให้เป็นศักดิ์ศรีที่ติดตัว ไปชั่วนิรันดร์


ดังนั้นความเจ็บปวดที่เราพบเจอวันนี้ ... คือศักดิ์ศรีที่จะมีในอนาคต ... ก็ไม่ใช่เรื่อง ที่เราจะต้องหลบ ... หรือทำให้ทุกๆ อย่างในชีวิต มันดูเจ็บปวดน้อยลง ... แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องกล้ำกลืนฝืนทน โดยลืมไปว่าพระเจ้า กำลังรักษาบาดแผลเราอยู่ ... อาจต้องใช้เวลา แต่ก็จะมีวันที่หายดี


เพราะภายหลังเจ็บปวด ... คือเวลาแห่งการเป็นพยาน ถึงความยิ่งใหญ่ของพระเยซู ในชีวิตของเรา


กล้าที่จะออกกำลังกายกันมากขึ้น เพื่อพระเยซูของเราหรือยังครับ 555






วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

ชีวิตมหัศจรรย์ ของ เรอัล กับ ลูมิ ตอนที่ 5

เช้าวันต่อมา ที่ริมน้ำ ถิ่นสงบ


เอ๊ะ ... ทำไมดูสงบกว่าทุกวันน้า ...


....


เงียบไปหน่อยรึเปล่าเนี่ย


....


ลูมิ พยายามลืมตาตื่นด้วยความงัวเงีย เนื่องจากเมื่อคืน เธอกับเรอัล
เห็นฝนดาวตกชุดใหญ่ ผ่านมา


(มาย้อนเรื่องของเมื่อคืนหน่อยดีกว่า)


"นี่ๆๆๆๆ ลูมิ เธอดูสิ มาชุดใหญ่เลย" เรอัล พยายามปลุกลูมิ ที่ง่วงแล้ว
ง่วงอีกเสียให้ได้ เพราะกว่าฝนดาวตกจะมา ก็ดึกมากอยู่


"หาวววว ... ไหนๆๆ" ลูมิพยายามลืมตาดู


"ไปหมดแล้ว เหอะๆๆๆ" เรอัลตอบ


"โห ... อะไรอ่ะ ... ทำไมไม่รีบปลุกชั้นล่ะ ... " ลูมิออกอาการงอนอย่างแรง


"ก็พยายามปลุกแล้วไง ... แต่เธอง่วงมากน่ะ" เรอัลแก้ตัว


"หึ! ... เป็ดงอนหมีแล้ว ... หึ ..."


โวยวายได้อยู่พักเดียว ลูมิก็หลับไป เพราะธรรมชาติของเป็ด หลับไว หุๆๆๆ


กลับมาตอนเช้านี้


ลูมิลุกขึ้น เดินไปแถวๆ ริมน้ำ คิดไป ... สงสัยในใจว่า ทำไมมันเงียบ
ผิดปกติ


"เอ ... ปกติมันต้องมีเสียงนี่" ลูมิพึมพัม


"แต่นี่ไม่มีเสียง อะไรหายไปนะ"


"เป็ด!"


ลูมินึกขึ้นมาได้


"ฝูงของฉันหายไปไหน ... !"


ลูมิวิ่งดูรอบๆ บริเวณริมน้ำ แต่ก็พบแต่ความว่างเปล่า


"ไม่จริง!!!!!!!"


***


"เพื่อนๆ เธอหายตัวกันไปหมดเลยเหรอ" เรอัลถามลูมิ


"ฮือๆๆๆๆ พวกเค้าทิ้งชั้น พวกเค้าทิ้งชั้น" ลูมิร้องไห้ แบบไม่ต้องบรรยายแล้ว
ว่าหนักขนาดไหน


"อืม ..." เรอัล ก็ไร้คำพูด ที่จะปลอบใจลูมิ ในเวลาแบบนี้


"ฮือๆๆๆๆๆ" ลูมิก็ยิ่งร้องไห้หนัก ... หนักขึ้น


-_-" -_-" -_-"


"ลูมิ .... ฉันรู้แล้วว่าจะช่วยเธอยังไง" เรอัล อยู่ดีๆ ... ก็นึกอะไรขึ้นมาได้


"ไม่เป็นไรหรอก ... ฮือๆๆๆ ... ชั้นรู้ว่าเธอหวังดี อยากให้ชั้นหยุดร้องไห้
ขอให้ชั้นร้องไปเรื่อยๆ ก่อนนะ เดี๋ยวมันก็หยุดเองล่ะ ... ฮือๆๆๆ" ลูมิตอบเรอัล


"ช่วยได้จริงๆ ไม่ได้โม้นะ" เรอัลยืนยัน


"คืออย่างงี้ ... พ่อฉันน่ะ เคยบอกว่า ที่ภูเขาใหญ่ ทางทิศเหนือ
เป็นที่อยู่ของท่านผู้ดูแลผืนภิภพนี้"


"พ่อบอกว่า วันหนึ่ง ถ้ามีปัญหาอะไร ที่เกินกำลังจะแก้ไขได้
ให้ไปหาท่าน ที่ภูเขา"


"มันอาจจะอยู่ไกลหน่อยนะ แต่ฉันจะลองไปหาท่าน เพื่อให้ท่าน
ช่วยเรื่องของเธอ"


"เธอจะไปตามลำพังเหรอ" ลูมิถาม


"รอฉันอยู่ที่นี่ ... ที่นี่ปลอดภัย อาจจะเหงาซักหน่อย
แต่ฉันจะรีบกลับมา ฉันสัญญา" เรอัลสัญญากับลูมิ


"ให้ชั้นไปด้วย" ลูมิพูดขึ้นมา


"มันไกลนะ ... แถมไม่รู้ว่าจะมีอันตรายอะไรมากหรือเปล่า ลูมิ ...
เธอเชื่อฉันนะ ฉันอยู่ที่นี่ลำพังมานาน ไม่เคยมีอันตรายอะไรเลย
มันเป็นที่ๆ เธออยู่ได้อย่างปลอดภัยแน่ๆ ที่เหลือ ให้ฉันจัดการเองเถอะนะ"


"ไม่ๆๆๆๆๆ เรอัล ... ชั้นไม่อยากให้เธอต้องเสี่ยงอันตราย
โดยที่ชั้นกลับอยู่เฉยๆ แบบนี้" ลูมิปฎิเสธเสียงแข็ง


"และที่สำคัญ ... ฉันทนไม่ได้หรอก ถ้าไม่มีเธออยู่ด้วย"


"อืม .... ลูมิ เธอ ..."


และแล้ว ลูมิก็ทำสิ่งที่เรอัลไม่คาดฝัน


เธอหอมแก้มเรอัล แบบที่เป็ดตัวหนึ่งจะหอมแก้มหมีได้


"ให้ชั้นไปกับเธอนะ ... เรอัล ... ที่ชั้นรัก"


"ลูมิ ..." เรอัลอึ้ง ... กับความรักของลูมิ ที่พร้อมจะเผชิญปัญหา
ร่วมกับเขา


"อ่ะ .... ไปก็ไป เราไปด้วยกัน"


ติดตามตอนต่อไปนะคร้าบบบบ

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ชีวิตมหัศจรรย์ ของ เรอัล กับ ลูมิ ตอนที่ 4

"เรามีเรื่องต้องคุยกับเธอนะ ลูมิ" เพื่อนๆ เป็ดทั้งหลาย
หาโอกาสเหมาะในการมาคุยกับลูมิ


"เธอเปลี่ยนไป ตั้งแต่เมื่อเธอไปสนิทกับเจ้าโคอาล่านั่น"


"ชั้นเปลี่ยนไปยังไงเหรอ ชั้นก็ยังเป็นเป็ดเหมือนเดิมนี่" ลูมิตอบ


"เธอตื่นสายขึ้น"


"เธอมัวแต่ไปดูดาวตอนกลางคืน"


"แต่ ... นี่ ... ดาวตอนกลางคืนสวยออก ทำไมพวกเธอ
ไม่คิดจะมาดูกันกับเราบ้างล่ะ" ลูมิชักชวน


"เธอพูดว่า 'กับเรา' งั้นเหรอ" เป็ดตัวหนึ่งในฝูงเอ่ยขึ้นมา
ด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ


"ใช่สิ ....... เธอคบกับโคอาล่า จนลืมไปแล้วว่า
เป็ดอย่างเรา เป็นเพื่อนเธอ"


"ไม่ใช่นะ ... ชั้นก็แค่อยากจะบอกว่าดาวกลางคืนมันสวยดี"
ลูมิพยายามอธิบาย


"เราเป็นห่วงเธอนะ ลูมิ"


"โคอาล่าขี้เกียจอย่างนั้น ทำให้ชีวิตเธอแย่ลง"


"มันทำให้เธอไม่เหลือความเป็นเป็ด อย่างที่พวกเรา
เคยภูมิใจในตัวเธอ"


"อย่าลืมสิ ว่าท่านหัวหน้าฝูงของเรา เคยยกย่องเธอ
ว่าเป็นเป็ดแบบอย่างชั้นเลิศ"


"แต่วันนี้ เธอกำลังเสียความเป็นเป็ดแบบอย่าง
เพราะไอ้เจ้าโคอาล่านั่น"


"เรอัลเค้าไม่ดียังไงเหรอ ทำไมพวกเธอเอาแต่ว่าเค้า"
ลูมิเริ่มร้องไห้


"ใช่ ... เค้าเคยขี้เกียจมากๆ แต่วันนี้เค้าก็ดีขึ้นกว่าเดิมแล้วนะ"


"เค้ามีชีวิตที่น่าสงสารจะตาย ที่ต้องเหงาอย่างนั้น
เพราะเชื่อฟัง ในสิ่งที่พ่อของเค้าสั่งไว้
ว่าให้รอสิ่งดี อยู่ที่นี่"


"เค้าอาจจะดูทึ่มๆ งี่เง่า อย่างที่พวกเธอพูด แต่รู้มั๊ย
เค้ารู้หมดเลยนะ ว่าเมื่อไหร่ดาวดวงไหนขึ้น
แล้วมันจะมีผล ต่อเรื่องน้ำขึ้น น้ำลง"


"ดูเหมือนเค้าจะไม่กินอะไร นอกจากยูคาลิปตัส ซึ่งฉันก็ไม่เคยกิน
มาก่อน แต่พอลองกินอย่างเค้ากิน
ชั้นก็เพิ่งรู้ว่า มันเป็นยาระบายชั้นดีเลย"


"ดูเหมือนเธอจะปกป้องโคอาล่านั่นมากเลยนะ"
เป็ดอีกตัวพูดแทรกขึ้นมา


"ยังไง เป็ดก็คือเป็ด"


"เธอไม่เลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างเป็ด
สักวันเธอจะเสียใจ"


"เราพูดกับเธอไม่รู้เรื่องแล้ว ลูมิ
กลับไปคิดเองเถอะนะ"


เหตุการณ์วันนี้ทำให้ลูมิเสียใจมาก


และแน่นอน จะมีใครที่รับฟังลูมิได้ดีกว่าเรอัล ในเวลานี้


"ใจเย็นๆ ลูมิ เพื่อนๆ เธอคงห่วงเธอจริงๆแหละ"
เรอัลพยายามปลอบใจลูมิ


"หึ! ห่วงเหรอ ... ห่วงแล้วทำไมต้องว่าเธอ
อย่างไม่เป็นธรรมด้วยล่ะ" ลูมิสะอึกสะอื้น


"เป็ดอย่างพวกเรา มักจะทนเห็นอะไรแปลกๆ ไม่เป็นไปตาม
สิ่งที่ถูกสอนกันมาไม่ค่อยได้หรอก"


"ชั้นเอง ก็เคยเป็นอย่างนั้น"


"แต่วันหนึ่ง ชั้นเคยพลัดหลงกับฝูง แล้วไปขึ้น
ฝั่งที่หนึ่ง"


"ชั้นพบกับครอบครัวหมูครอบครัวหนึ่ง"


"พวกเค้าใจดีกับฉันมาก ที่คอยดูแล
ทำแผลให้ หาอาหารให้กิน"


"แต่น่าเสียดายที่พอฝูงตามหาฉันเจอ แทนที่
จะขอบคุณครอบครัวหมูนั้น กลับแสดงอาการรังเกียจใส่พวกเค้า"


"ชั้นเสียใจมาก ที่เป็ดอย่างพวกเรา มีความคิด
คับแคบอย่างนี้" ลูมิยิ่งร้องไห้หนักขึ้น


"ชั้นขอโทษเธอนะเรอัล แทนเพื่อนๆ ชั้น ที่ดูถูกเธอ"


"ที่เพื่อนๆ เธอดูฉันเป็นอย่างนั้น ก็ดูถูกแล้วล่ะ"
เรอัลตอบ


"เธอรับได้เหรอ เธอยอมถูกดูถูกได้ยังไง" ลูมิถาม


"เอ้า ... ก็เพื่อนๆ เธอไม่ได้ดูผิดสักหน่อย
ก็ฉันมันเป็นโคอาล่าขี้เกียจๆ อย่างที่
เพื่อนๆ เธอบอกจริงๆ นี่"


"เล่นมุขใช่มั๊ย" ลูมิถาม (เคืองเล็กน้อย -_-" อุๆๆ)


"น่า ... อารมณ์ดีขึ้นหน่อยน่า ... นะๆๆๆๆ" เรอัลพยายามหยอก
ลูมิ ให้อารมณ์ดีขึ้น


ลูมิแอบขำในใจ "ดีจัง ... หมีเล่นมุขเป็นด้วย ฮิๆๆๆ"


แต่เมื่อกลับไปดูทางฝั่งเพื่อนลูมิ
เหตุการณ์ชักไม่ค่อยจะดี


"เราจะทำยังไงดีกับยัยลูมิ"


"นั่นสิ"


"นี่" เป็ดท่าทางฉลาดตัวหนึ่งพูดขึ้นมา


"ที่เราต้องหลงทางกับฝูงใหญ่ ก็ไม่ใช่เพราะ
ยัยลูมิหรอกหรือ"


"ตั้งแต่วันที่พวกเราเอาตัวลูมิออกมาจาก
ครอบครัวหมูสกปรกนั่นน่ะ ยัยลูมิ
ก็เริ่มคิดแตกแถวกับพวกเรามากขึ้นเรื่อยๆ จริงหรือเปล่า"


"แล้วดูสิ คราวนี้ก็ ... เห็นกันชัดๆ ว่าแตกแถวอีกแล้ว"


"เดือดร้อนตัวเดียวไม่พอ พาพวกเราเดือดร้อนอีก"


"แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ" เป็ดขี้อายตัวหนึ่ง ค่อยๆ แทรกขึ้นมา


"ง่ายๆ" เป็ดตัวเดิมตอบ


"ให้ตัวที่แตกแถว ... แตกแถวไปตัวเดียว"


ติดตามตอนต่อไปคร้าบบบ

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ชีวิตมหัศจรรย์ ของ เรอัล กับ ลูมิ ตอนที่ 3



ความสัมพันธ์ของสองสายพันธุ์ที่แตกต่างกัน เกิดขึ้นที่ริมน้ำแห่งนี้


เรอัล กับลูมิ เริ่มที่จะทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อที่จะเรียนรู้จักกันให้ได้มากขึ้น


บางสิ่งก็เป็นจุดร่วมที่เหมือนกัน


"เธอชอบนับดาวเหมือนกับฉันเหรอ ลูมิ" เรอัลถาม


"ใช่" ลูมิตอบ "ฉันว่าท้องฟ้ากลางคืนสวยดีออก เพื่อนๆ ฉันน่ะ
พอตกกลางคืนปุ๊บ ก็หลับปั๊บ เลยอดเห็นอะไรสวยๆ แบบนี้"


"ฉันก็เลยเป็นเป็ดประหลาดอยู่ตัวเดียว ที่ลุกขึ้นมาดูดาวตอนกลางคืน"


บางสิ่งก็เป็นจุดต่าง ที่ต้องเรียนรู้ เพื่อเข้าใจกันและกัน


"เรอัล นอนกับกินอย่างเดียว มันไม่ดีนะ"


"ลุกๆๆๆๆ ตื่นได้แล้ว"


"หาวววว" เรอัลหาวอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย


"เมื่อคืนเราก็ดูดาวกันจนดึกแล้วนะ มันก็ต้องตื่นสายเป็นธรรมดาสิ"


"ลูมิ เธอต้องระวังสุขภาพนะ นอนดึก ตื่นเช้า
มันจะทำให้เธอเพลียไปทั้งวันนะ"


"โธ่ เรอัล อย่างกับเธอแข็งแรงนักนะ"


"ดูสิ กินๆ นอนๆ อย่างเดียวอ้วนจะแย่แล้ว"


"ไปๆๆๆๆ ลองมาลงน้ำกับฉันดูสิ ว่ายน้ำสนุกออก"


"หยึยยย ... ฉันกลัวน้ำ ...." เรอัลตอบ


"แน่ะ ... อย่าบอกฉันนะ ว่าเธอไม่ค่อยอาบน้ำน่ะ" ลูมิซักไซ้เรอัล


"ป่าววว ... ก็ฉันไม่ได้ทำอะไรมากนี่ เหงื่อมันก็ไม่ออกไง อิๆๆ"


(คุยกันเยอะมาก เล่าต่อไม่ไหวแล้ว 555)


ความสัมพันธ์ ... นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง


และความรักของทั้งคู่ ต่างก็เพิ่มพูนขึ้น


ทั้งรู้ตัว ... และไม่รู้ตัว


แต่ .... มันก็นำมาซึ่งความรู้สึกไม่ดี กับเพื่อนๆ เป็ด ของลูมิด้วยเช่นกัน


"ทำไมลูมิถึงไปคบกับเจ้าโคอาล่างี่เง่าตัวนั้นได้นะ"


"ใช่ ... โคอาล่า วันๆ ไม่ทำอะไร เอาแต่กินกับนอน"


"นี่ๆๆๆๆ ... เดี๋ยวนี้ลูมินอนตื่นสายขึ้นนะ"


"ลูมิบอกว่าอะไรนะ ... อ้อๆๆๆๆ เค้าดูดาวดึก เลยต้องตื่นช้า
หน่อย เพื่อจะได้มีแรง"


"ชักจะเสียความเป็นเป็ดไปทุกวันแล้วนะ ... ยัยลูมิ"


"ไม่ได้ๆๆๆๆ เราต้องห้ามลูมิ ไม่ให้ลูมิแย่กว่านี้"


ความหวังดีของเพื่อนๆ เป็ด จะมีผลกระทบ
กับความรัก ระหว่างเรอัลกับลูมิหรือไม่


ติดตามตอนต่อไป

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ชีวิตมหัศจรรย์ ของ เรอัล กับ ลูมิ ตอนที่ 2

เมื่อเป็ดกับหมีมาอยู่ด้วยกัน อะไรๆ ก็ดูแปลกไป


เรอัลไม่เคยตื่นเช้า ตื่นแต่เฉพาะเวลาหิว เพื่อมากิน และก็หลับต่อ


แต่เมื่อเป็ดฝูงใหญ่มาอยู่ที่นี่ เรอัลก็จะสะดุ้งตื่นทุกเช้า


เพราะเป็ดทุกตัวในฝูง จะเริ่มส่งเสียงกันดังไปทั่วริมน้ำ


และเริ่มลงน้ำ ดำผุดดำว่ายหาอาหาร


"โอ๊ยยยย นี่มันอะไกันนนนน" เรอัลบ่นเสียงดังลั่น


"ลูมิ ทำไมเธอกับเพื่อนๆ เธอ ถึงได้เสียงดังวุ่นวายอย่างงี้"


"ขอโทษนะเรอัล แต่ธรรมชาติของพวกเรา ก็เสียงดังอย่างนี้แหละ"
ลูมิตอบตรงๆ


"พวกเป็ดนี่เสียงดังอย่างนี้เหรอ"


"ชีวิตของพวกเธอ จะรู้จักคำว่าสงบบ้างมั๊ย" เรอัลถามด้วยความหงุดหงิด


"เรอัล มันชักจะมากไปแล้วนะ" ลูมิเริ่มโมโห


"แล้วเธอล่ะ ชีวิตของเธอมันมีอะไรดีบ้าง นอกจากกินแล้วนอนไปวันๆ"


"คำว่าสงบของเธอ สำหรับฉัน มันคือความขี้เกียจ"


"นี่เธอเถียงฉันเหรอ" เรอัลโกรธ


"ใครอนุญาตให้เธออยู่ตรงนี้" เรอัลถาม


ลูมิเริ่มน้ำตาซึม และสุดท้ายก็ร้องไห้ดังลั่น


"เฮ้ๆๆๆ อย่าร้องดังอย่างนั้นสิ" เรอัลเริ่มสงสารลูมิ


"ใจร้าย ... ใจร้ายที่สุด" ลูมิสะอึกสะอื้น


"ฉันขอโทษ" เรอัลเริ่มเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองพูดไป


"มันยังไม่ชินกับเสียงดังเท่าไหร่น่ะ ฉันก็เลยบ่นใส่เธอ แต่ฉันจะปรับตัวนะ"


"ไม่เป็นไร ... ฮือๆๆๆ ฉันจะพยายามไม่รบกวนเธอแล้วกัน"
ลูมิพยายามจะข่มน้ำตาไว้


เรอัลเข้ามาใกล้ลูมิ ... และก็ทำสิ่งที่ไม่คาดฝัน


เขากอดลูมิไว้ เท่าที่โคอาล่าตัวหนึ่ง จะกอดเป็ดได้


(จินตนาการดูเองล่ะกัน 555)


"เรอัล ... นี่เธอ ..." ลูมิอึ้ง


"ลองดู" เรอัลเ่อยขึ้นมา


"ขอให้ฉันได้รู้จักความสุขของเธอ และเธอรู้จักความสุขของฉันนะ"


"มันอาจจะดีกับชีวิตฉันก็ได้ ที่จะได้รู้จักอะไรใหม่ๆ ผ่านตัวเธอ"


"เรอัล .... " ลูมิเริ่มเสียงอ่อนลง


"ถ้าเธอตั้งใจอย่างนั้น ฉันก็ตกลง"


"เราลองเรียนรู้กันนะ"


นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของความรักหรือเปล่าเนี่ย?


ติดตามกันต่อไป



วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ชีวิตมหัศจรรย์ ของ เรอัล กับ ลูมิ ตอนที่ 1





เรอัล ... โคอาล่าหนุ่มตัวหนึ่ง เฝ้ารอคอยมานาน
หลายปี ที่จะได้พบ "สิ่งที่ดีที่สุด" ของชีวิต ... ที่ิต้นไม้
ริมน้ำ แดนสงบ แห่งนี้


ทั้งนั่งรอ





นอนรอ





รอแล้ว ... รออีก


รอจนโคอาล่าตัวอื่นๆ สงสัยและก็ถามเรอัลว่า


"ทำไมแกถึงปักใจกับคำสั่งสอนของพ่อแม่แกขนาดนี้เล่า"


"ดูสิ ตัวอื่นๆ เค้าก็หนีไปอยู่ที่ป่าอื่นกันหมดแล้ว"


"มีแต่แกเนี่ยแหละ อยู่กับต้นไม้เดิมๆ ที่แกอยู่ตั้งแต่เด็ก"


เรอัล ก็ได้แต่ตอบเพื่อนๆ ที่ชักจะหายไปทุกวันว่า


"ก็ฉันเชื่อว่ามันจะจริงไง ฉันถึงรอ"


"พ่อไม่โกหกฉันแน่ๆ"


เพื่อนๆ เรอัลก็ได้แต่ส่ายหัว และก็จากไปอยู่ป่าอื่นๆ ไปเรื่อยๆ


จนบัดนี้ ก็เหลือมันเพียงตัวเดียว


อยู่ที่ต้นไม้ต้นเดิม


อยู่กับความฝันเดิมๆ


ที่ไม่รู้เมื่อไหร่มันจะเป็นจริงเสียที


"พ่อ" เรอัลพึมพัมในใจ "นี่ตกลงพ่อแค่หลอกผมให้ไม่ไปไหนใช่หรือเปล่าเนี่ย"


"ทำไมพ่อไม่อยู่กับผมด้วยล่ะ"


"พ่อเล่นจากไปก่อน และปล่อยลูกอย่างผมให้เหงาๆ อย่างนี้เนี่ยนะ"


"เฮ้อ .... "


แต่ก็นั่นแหละ ถึงจะบ่นถึงพ่อที่จากเขาไปแล้วขนาดไหน


เขาก็ยังเชื่อฟังสิ่งที่พ่อพูดอยู่ดี


ก็ยังอยู่ที่เดิม และรอคอยว่า "สิ่งที่ดีที่สุด" จะมาหาเขาเอง


***


วันหนึ่ง เรอัลได้ยินเสียงอื้ออึง มาจากแม่น้ำ


"หาว ... อะไรกันเนี่ย" เรอัลค่อยๆ ขยับตัวอย่างช้าๆ
ตามประสาของโคอาล่า ที่ใช้เวลานอน มากกว่าสิ่งอื่นใด ในชีวิต


ทันใดนั้น เขาเห็นเป็ดฝูงใหญ่ กำลังแหวกว่ายน้ำมา


และ ... ทั้งหมด ก็มาขึ้นฝั่ง ตรงแถวต้นไม้ของเรอัล


"โอ๊ย ... อะไรกันเนี่ย จะมาแย่งที่อยู่ฉันหรือไง" เรอัลบ่นอุบ


เขาค่อยๆ ปีนลงจากต้นไม้ ลงไปหาฝูงเป็ดเหล่า


"นี่ ... พวกนายจะมาแย่งที่อยู่ของฉันเหรอ"


"ไปไกลๆ เลย ฉันไม่อยากให้บ้านของฉัน เต็มไปด้วยเสียงเป็ดน่ารำคาญ"


"ก๊าบๆๆๆ ถือว่าฉันขอร้องก็แล้วกัน" มีเสียงเป็ดตัวหนึ่งดังออกมาจากฝูง


เรอัลหันไปมอง ทันใดนั้นก็ได้พบกับเป็ดน้อยตัวหนึ่ง


หน้าตา ... น่ารัก ... แบบเป็ด


เสียง ... ก็เหมือนเป็ด


(จะไปเหมือนหมีได้ยังไงล่ะ 5555)


"ฝูงของเรา พลัดหลงกับฝูงใหญ่ เราพยายามหาทางกลับฝูงใหญ่
แต่ยิ่งหายิ่งหลงทาง จนมาถึงที่นี่นั่นแหละ"


"เราเหนื่อยกันมาก เราขอพักกันก่อนที่นี่เถอะนะ"


ความน่ารักของเป็ดตัวนี้ สะกดอารมณ์หงุดหงิดของเรอัลเสียอยู่หมัด


"อา ... ก็ๆๆๆๆ ได้ๆๆๆๆๆ สิ" เรอัลตอบ


"ใจดีจริงๆ เธอชื่ออะไรเหรอ" เป็ดน้อยถาม


"ฉัน ... เรอัล"


"ฉันชื่อ .... ลูมิ" เป็ดน้อยบอกชื่อตัวเองกับเรอัล


"ลูมิ ... เป็นชื่อที่แปลกดีจัง" เรอัลคิด


"แต่ ... เราจะอยู่กับเป็ดได้เหรอเนี่ย" เรอัลก็ยังสงสัยอยู่ในใจ


จบตอนที่ 1



วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

อย่าฝืน อย่ายื้อ อย่ารื้อ อย่าดื้อ

"อย่าฝืน" ถ้าสิ่งที่เราทำอยู่ มันไม่ใช่ตัวเรา


...


พระเจ้าสร้างเราอย่างมีเอกลักษณ์ เป็นเรื่องที่เราต้องหาเอกลักษณ์นั้นให้เจอ


แต่ถ้าเราฝืน เอกลักษณ์นั้นจะถูกกัดกร่อนไปวันต่อวัน


จนท้ายที่สุด เราก็ไม่ได้ "เป็น" ในสิ่งที่พระเจ้าสร้างให้เรา "เป็น"


และเราก็กลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ ที่ขาดๆ เกินๆ


ใช้การได้ ไม่เต็มประสิทธิภาพ


ยิ่งฝืน ยิ่งเหนื่อย และนานวันก็จะยิ่งเฉื่อย


และในที่สุดก็จะเปื่อย ... สลายหายไปกับตา


อย่าฝืน ...


***


"อย่ายื้อ" เพราะเสรีภาพ เป็นสิ่งที่มนุษย์ปรารถนา


ถ้าความรัก เป็นเหตุแห่งความผูกพัน


ก็จงให้ความรัก เป็นเครื่องมือที่สร้างความผูกพัน


ไม่มีทาง ที่รูปแบบภายนอกอันสวยงาม แต่ไร้ซึ่งความรัก
จะผูกพันชีวิตใครเข้าด้วยกันได้


และใครที่คาดหวังว่ารูปแบบภายนอก จะกระตุ้นให้เกิดความรัก
ก็จงกรุณาคิดเสียใหม่


นิยามแห่งความรัก อาจเป็นเรื่องที่อธิบายกันได้
(1 คร. 13:4-7)


แต่ต้นเหตุแห่งความรัก เป็นเรื่องที่ต้องสัมผัสด้วยตนเอง
(1 ยน. 4:8)


สัมพันธภาพกับพระเยซู คือคำตอบเดียวในการรู้จักคำว่ารัก


ถ้าไร้ซึ่งความรัก แต่ยังทำเหมือนว่ารัก นั่นคือการยื้อ


ยิ่งยื้อ ก็ยิ่งขาด


หยุดยื้อ และเริ่มใหม่ กับความรักของพระเจ้า


***


"อย่ารื้อ" ถ้าสิ่งที่รื้อ เป็นสิ่งที่ไม่ควรค่าแก่การรื้อฟื้น


บางอย่าง "ดี" ในเวลาของมัน


แต่มันหมดอายุแล้ว ในเวลาปัจจุบัน


รูปแบบ เป็นเรื่องที่สร้างมา ให้เหมาะกับยุคสมัย


แต่เมื่อมันหมดสมัย มันก็ต้องคิดรูปแบบใหม่ๆ


เอาการเสียเวลา ที่จะรื้อเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง
ไปรื้อฟื้นเรื่องที่ควรจะรื้อดีกว่าหรือไม่


เราอ่านพระคัมภีร์จริงจังทุกวันหรือไม่


เราดูแลร่างกายของเราดีแค่ไหน


เรามีดีแค่ไหน ถึงจะไปเป็นพระพรกับคนอื่นได้


ยิ่งรื้อ ยิ่งรก


อย่ารื้อ ... ในสิ่ง ที่ไม่ควรรื้อ


***


"อย่าดื้อ" เมื่อรู้ว่ามันผิด


ความจริง ก็คือความจริง และไม่มีใครหนีความจริงได้


ถ้าสิ่งที่ทำมันผิด ต่อให้ตั้งใจดี ทำเท่าไหร่มันก็ผิด


ถ้าผิดแล้วยังดื้อ มันก็จะผิดอีก


การเผชิญหน้ากับความจริง เป็นเรื่องที่เจ็บปวด


"ผู้ใดล้มทับศิลานี้ ผู้นั้นจะต้องแตกหักไป
แต่ศิลานี้จะตกทับผู้ใด ก็จะบดขยี้ผู้นั้นจนแหลกเป็นผุยผง"
(มธ. 21:44)


เจ็บปวด ... เพราะชีวิตมันจะแตกหัก


แต่พระเจ้า จะสร้างชีวิตแตกหักแบบนี้บนศิลาขึ้นใหม่


และพลังแห่งความตาย จะไม่มีชัยเหนือคนเช่นนี้


แต่ถ้าดื้อ ความจริง จะทำให้เรากลายเป็นผุยผง


ยิ่งกว่าเจ็บปวด เพราะมันไม่เหลืออะไรเลย


เหมือนกับการสร้างปราสาททราย ที่รู้ว่ายังไง
น้ำทะเลก็ต้องพัดเข้ามาพังสักวัน


ก็ยังอุตส่าห์จะสร้างมัน เพราะมันสร้างง่าย


ก็ยังอุตส่าห์จะพยายามสร้างแนวป้องกัน ให้น้ำทะเลพัดไปอีกทาง


แต่เมื่อน้ำทะเลหนุนขึ้นสูง ทุกอย่างก็จบกันในพริบตา


ปราสาทหิน สร้างยาก ไม่ทันใจ


แต่สุดท้าย คงทนถาวร


ยิ่งดื้อ ยิ่งพังทลาย


หยุดดื้อ ... เผชิญหน้ากับความจริง


ยอมเจ็บปวด เพื่อชีวิต ที่แข็งแกร่งจากภายใน


ก่อนที่ความจริง จะพังชีวิต ให้กลายเป็นผุยผง


***















วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เสียหมู

เปลี่ยนบรรยากาศกันบ้าง กับนิทานสนุกๆ ครับ

*******

อู๊ดอู๊ดกับอู๊ดอี๊ดเป็นหมูเพื่อนรักกัน ทั้งคู่เกิดและโตมาด้วยกันที่ฟาร์มของลุงสน ลุงสนรักพวกมันสองตัวมาก


ตั้งแต่เกิดมาลุงสนเลี้ยงดูพวกมันเป็นอย่างดี หวังว่าจะให้พวกมันสองตัวเป็นหมูพ่อพันธุ์รุ่นต่อไปให้กับฟาร์มของลุง


จึงไม่แปลกเลยถ้าพวกมันจะได้กินจุ จนตัวใหญ่มากขึ้นทุกปีๆ



แต่อยู่มาปีหนึ่ง ความแห้งแล้งอย่างรุนแรงเข้ามาเยือนแผ่นดินในฤดูร้อน


เท่านั้นยังไม่พอ พอถึงหน้าฝน ฝนก็ตกมาก ... มากจนเกินไป ...มากจนน้ำท่วม


แน่นอนว่าฟาร์มลุงสนได้รับผลจากความแห้งแล้งและน้ำท่วมนี้เต็มๆ


รายได้จากการขายพืชผักและสัตว์ต่างๆลดลง


จนจะไม่พอกับค่าอาหารของอู๊ดอู๊ดกับอู๊ดอี๊ดที่นับวันจะเพิ่มขึ้นทุกวัน


“เฮ้อ ...” ลุงสนถอนหายใจ “ข้าเลี้ยงพวกเจ้าท่าจะไม่ไหวจริงๆนะ อู๊ดอู๊ดอู๊ดอี๊ด
ค่าอาหารก็แพง สงสัยต้องปล่อยพวกเจ้าให้กับพวกโรงฆ่าสัตว์ซะละมั๊ง อย่าโกรธข้าเลยนะพวกเจ้าสอง”
ลุงสนพูดกับอู๊ดอู๊ดอู๊ดอี๊ด


“ลุงสนพูดอะไรอ่ะ ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย” อู๊ดอู๊ดถามอู๊ดอี๊ด


“จะไปรู้เรื่องได้ไง ลุงเค้าพูดภาษาคนนี่” อู๊ดอี๊ดตอบ


“ข้ารู้เรื่อง ข้ารู้เรื่อง!” อู๊ดอู๊ดกับอู๊ดอี๊ดหันไปมอง
ปรากฏว่าเป็นนกตัวหนึ่งที่เกาะอยู่บนต้นไม้
มันได้ยินทุกอย่างที่ลุงสนพูดกับอู๊ดอู๊ดและอู๊ดอี๊ด


“ผู้ชายคนนี้เค้าบอกว่า จะขายพวกนายสองตัวให้โรงฆ่าสัตว์ เพราะเลี้ยงไม่ไหวแล้ว”


“ไม่จริง!” อู๊ดอู๊ดตะโกนออกมา “ลุงสนเค้ารักเราขนาดนี้ จะทำอย่างที่เจ้าว่าได้ไง”


“แต่ข้าได้ยินอย่างนี้จริงๆนะ .....” นกตอบ
“ไม่ผิดแน่ๆ เชื่อข้าสิ ข้าเป็นนกแก้วนะ ภาษาคนน่ะข้าคุ้นเคย คนเค้าพูดกับข้าทุกวัน”


“ไม่จริง .....!” ทั้งอู๊ดอู๊ดอู๊ดอี๊ดร้องเสียงหลงด้วยกันทั้งคู่



แต่โชคก็เข้าข้างอู๊ดอู๊ดอู๊ดอี๊ดอยู่บ้าง ปีนี้มีการประกวดสัตว์
และลุงสนก็คิดว่าน่าจะส่งพวกมันทั้งคู่เข้าประกวด


“ถ้าพวกเจ้าชนะได้เงินรางวัลมา ข้าก็คงเลี้ยงพวกเจ้าต่อได้” ลุงสนพูดเปรยๆ อยู่ข้างตัวอู๊ดอู๊ดกับอู๊ดอี๊ด
ในขณะที่ให้อาหารพวกมัน “แต่ถ้าตัวไหนไม่ได้รางวัลเลยนี่ ข้าต้องปล่อยเจ้าไปจริงๆนะ”



“นี่ๆ คุณนกแก้ว ช่วยบอกพวกเราหน่อยสิ ที่ลุงสนพูดกับเราเมื่อเช้าน่ะ”
อู๊ดอู๊ดและอู๊ดอี๊ดมารบเร้าถามเจ้านกแก้วตัวเดิม


“เค้าบอกว่าจะให้เจ้าสองตัวเข้าประกวดสัตว์ ใครได้รางวัลเค้าจะเลี้ยงต่อ แควกๆ” นกแก้วตอบ


“เราต้องทำตัวยังไงดีน่ะอู๊ดอู๊ด จะได้ชนะการประกวดนี้” อู๊ดอี๊ดถามอู๊ดอู๊ด


“ไม่รู้อ่ะ คุณนกแก้วแนะนำเราหน่อยสิ” อู๊ดอู๊ดขอคำปรึกษาจากนกแก้ว ที่ดูท่าทางจะรู้ไปซะทุกเรื่อง


“ได้เลย ... แควกๆ การประกวดนี้ข้าเคยเข้าประกวด ข้าได้ที่สอง
เค้าจะคัดเลือกสัตว์ที่ดูดีที่สุดให้เป็นผู้ชนะในแต่ละประเภท
อย่างหมูเนี่ยข้าเคยเห็นผู้ชนะเลิศ รูปร่างดีเลยล่ะ แควกๆ”


“งั้นเราต้องทำให้รูปร่างเราดี” อู๊ดอู๊ดบอก


“ทำไงล่ะ เราทั้งคู่อ้วนจะแย่แล้ว” อู๊ดอี๊ดแย้งขึ้นมา


“ก็ ...... ออกกำลังกาย .... งดอาหารด้วย” อู๊ดอู๊ดเสนอ “เริ่มกันได้แล้วด้วย ก่อนที่จะสายไป”



อู๊ดอู๊ดอู๊ดอี๊ดเริ่มวิ่งออกกำลังกายกันเอาเป็นเอาตาย
ได้ผล!รูปร่างทั้งคู่เริ่มดีขึ้นมาบ้าง แต่อู๊ดอู๊ดดูจะมีความพยายามกว่าอู๊ดอี๊ด
เพราะถึงขนาดไม่ยอมกินอาหาร ในขณะที่อู๊ดอี๊ดกินหมดไม่เหลือเหมือนเดิม


“ก็มันหิวนี่” อู๊ดอี๊ดบอก “ฉันไม่ได้เก่งเหมือนนาย วิ่งก็เร็ว แถมอดอาหารได้อีก”


“นี่นายอยากโดนเอาไปเชือดเหรอ” อู๊ดอู๊ดต่อว่า “อยากชนะก็ต้องพยายามกว่านี้”


“ไม่เอาสิ อย่าแช่งฉันอย่างนี้ ฉันก็ไม่อยากโดนเชือดนะ ก็แค่มันหิวอ่ะ” อู๊ดอี๊ดร้องโอดครวญ


“ไม่รู้แล้ว ถ้านายไม่หยุดกิน ฉันก็ไม่รู้จะช่วยอะไรนาย ไปวิ่งต่อละกัน” อู๊ดอู๊ดพูดด้วยความหงุดหงิด


“เฮ้ รอฉันด้วย”



วันประกวดมาถึง อู๊ดอู๊ดอู๊ดอี๊ดถูกส่งเข้าประกวด รูปร่างของทั้งคู่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน
แต่อู๊ดอู๊ดดูจะผอมไปกว่าเดิมมาก ในขณะที่อู๊ดอี๊ดยังดูจ้ำม่ำอยู่


“ฉันบอกนายแล้วว่าไม่ให้กินเยอะ นายก็ไม่เชื่อ คอยดู ตกรอบแรกด้วยก็ไม่รู้”
อู๊ดอู๊ด นอกจากจะไม่ให้กำลังใจเพื่อนแล้ว ยังขู่เพื่อนซะอย่างงั้น


“ฮือๆ ช่วยฉันด้วยสิอู๊ดอู๊ด” อู๊ดอี๊ดร้องไห้ สีหน้าวิตกอย่างรุนแรง


เมื่อกรรมการมาตรวจดูหมูทั้งหมด ก็เริ่มครุ่นคิดกันว่าจะให้ตัวไหนเข้ารอบ
ปีนี้มีคนส่งหมูประกวด 5 ตัว ซึ่งก็แน่นอนว่าจะคัดเหลือแค่ 3 ตัวเพื่อให้ได้ที่ 1 ที่ 2 และที่3


กรรมการคนหนึ่งดูอู๊ดอู๊ดกับอู๊ดอี๊ด ท่าทางจะกรรมการจะคิดหนัก
เพราะหมูสองตัวนี้รูปร่างดีทีเดียว


แล้วสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจจูงอู๊ดอี๊ดออกมา และให้อู๊ดอี๊ดได้ที่ 1 มีหมูตัวอื่นได้ที่ 2 และ ที่ 3


แต่ไม่มีอู๊ดอู๊ดอยู่ในนั้น


“ไม่จริง!!!!!!!!!!!!!!!!!” อู๊ดอู๊ดร้องเสียงหลง



อู๊ดอู๊ดนอนซึมอยู่ในรถขนสัตว์ รู้ว่าตัวเองคงไม่รอดแหงๆ


คุณนกแก้วตัวเดิมบินมาอยู่แถวๆลูกกรงเหล็ก “เสียใจด้วยนะ” คุณนกแก้วบอกกับอู๊ดอู๊ด


“คุณนกแก้วได้ยินกรรมการเค้าพูดกันหรือเปล่า ทำไมผมแพ้ล่ะ
ผมรูปร่างดีกว่าหมูตัวอื่นเป็นไหนๆ” อู๊ดอู๊ดคร่ำครวญ


“แควกๆ ได้ยินๆ ...” คุณนกแก้วบอก “ข้าได้ยินกรรมการสองคนคุยกัน”


“เค้าบอกว่า หมูสองตัวนี้ดูดี แต่ตัวนึงมันผอมมากไป มันดูยังกะไม่ใช่หมู
อีกคนก็บอกว่า ใช่ๆๆ ตัวที่คุณว่าน่ะแหละ มันดูเสียหมูไปแล้ว แควกๆ”


“เค้ายังบอกกับลุงสนด้วยนะว่า ทีหลังอย่าให้หมูของคุณออกกำลังกายมากเกินไป
มันจะทำให้หมูผอม ดูไม่เป็นหมู”


“อากซ์ซซซซซซซซซซซซซซซซซ .....”
(คงไม่ต้องบอกแล้วมั๊งว่าเสียงใคร)


- จบแร๊ว อิอิ-

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เอลพิส กับบทเพลงแห่งพระพร ตอนที่ 5


อาจารย์เจย์และเอลพิส ได้เดินทางมาถึงเมืองแห่งหนึ่ง

เมืองแห่งนี้ แค่ได้พบเห็นวินาทีแรก ก็รู้สึกได้ถึงความสุข

และเมื่อได้เห็นใบหน้าผู้คนในเมือง ก็รู้สึกได้ถึงความสุขของพวกเขา
ที่เกินกว่าคำบรรยาย

***

เอลพิส และอาจารย์เจย์ ได้มาถึงลานกว้างแห่งหนึ่ง ใจกลางเมือง

ทันใดนั้น ก็มีคนเป็นอันมาก ต่างถือแตรของตนเอง
เดินมารวมตัวกันที่ลานแห่งนั้น

ใบหน้าทุกคนมีความสุข

ใบหน้าทุกคนมีความหวัง

และที่น่าทึ่ง คือพวกเขาทุกคนต่างมีมิตรภาพให้แก่กันอย่างโอบอ้อมอารี

ผู้อาวุโสคนหนึ่ง ยืนขึ้นบนเวทีเล็กๆ ใจกลางลานนั้น กล่าวว่า

"ขอบคุณพี่น้องทุกท่าน ที่มารวมตัวกันในวันนี้"

"เป็นเวลาดีจริงๆ ที่เราทุกคนในวันนี้ จะร่วมกันบรรเลงบทเพลงแห่งพระพร"

เอลพิสทั้งตื่นเต้นและประหลาดใจ
นี่พวกเขาจะบรรเลงบทเพลงแห่งพระพรจริงหรือ

"และเราจะได้เห็นฝนแห่งสวรรค์พร้อมกัน ในวันนี้"

"ฝนแห่งสวรรค์เหรอ?" เอลพิสคิดในใจ

"ข้าเฝ้ารอจะเห็นสิ่งนี้มานาน ก็ยังไม่เคยพบเห็น
แต่คนพวกนี้มั่นใจมากขนาดนี้เลยหรือว่าจะได้เห็นฝนแห่งสวรรค์"

และแล้วทุกคน ก็ได้บรรเลงบทเพลงจากแตรของพวกเขาพร้อมกัน

***

"ช่างไพเราะอะไรเช่นนั้น"

"ไพเราะเสียยิ่งกว่าบทเพลงแห่งเอลพิสเสียอีก"

ตื่นตะลึง และก็ตื่นตะลึง

เอลพิสได้แต่ยืนฟังคนเหล่านั้นบรรเลงบทเพลงที่ไพเราะสุดจะหาคำบรรยาย

และก็หันไปดูที่ท้องฟ้า

เมฆก็เริ่มแหวกออก และแสงสว่างจากฟ้าก็สาดส่องลงมายังคนกลุ่มนี้ที่กำลังเป่าแตร

ทันใดนั้น ฝนก็โปรยออกมาจากแสงสว่างนั้นอย่างน่าอัศจรรย์

ทุกคนที่อยู่ในลานเมือง ต่างโห่ร้องดีใจ
ที่ฝนแห่งสวรรค์ปรากฎขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขา

ฝนนี้ไม่ทำให้พวกเขาเปียกปอน แต่ทำให้เกิดความชุ่มชื่น

และที่สำคัญ เมื่อฝนแห่งสวรรค์ตกลงมาสู่คนเหล่านี้

พวกเขาก็มีแสงจับทั่วร่างกายของเขาทันที

แสงจากคนเหล่านั้นสว่างมาก สว่างเสียจนเอลพิสทานทนกับแสงนั้นไม่ไหว
ต้องหลบซ่อนตัวในพุ่มไม้แถวนั้นทันที

***

แต่แสงที่สว่างนั้นก็ยังตามมาถึงพุ่มไม้ จนเอลพิสทนไม่ได้
ร้องขอความช่วยเหลือ

"หยุดส่องแสงเถิด ตาของข้าจะบอดอยู่แล้ว"

"นี่เราเอง"

เอลพิสหันไปมองข้างหลัง อาจารย์เจย์อยู่ที่นั่น

"ท่านอาจารย์!"

"ท่านก็อยู่ท่ามกลางฝนแห่งสวรรค์นั่นด้วยหรือ"

"แสงของท่านสว่างมาก ... ข้า ... ข้า ... ทนไม่ได้"

"ปิดตาของท่านเสียก่อนในเวลานี้ และฟังคำของเราให้ดี"

เอลพิสหลับตาลง และตั้งใจฟังอาจารย์เจย์

"เรารู้ถึงความตั้งใจที่ดีของท่าน"

"เรารู้ถึงการกระทำของท่านที่ผ่านมา"

"ท่านอยากให้เมืองของท่านมีความสุข"

"และท่านก็ได้ให้ความสุขแก่เมืองของท่านมานาน
ด้วยบทเพลงแห่งเอลพิสของท่าน"

"แต่เรามีข้อตำหนิท่าน"

"ท่านมิได้ดำเนินตามสิ่งที่เราเคยสั่งสอนท่านอย่างแท้จริง"

"ท่านอาจารย์ ข้าทำอะไรผิดหรือ?" เอลพิสถาม

"ท่านไม่ได้ให้ศิษย์ของท่าน คิดค้นบทเพลงของตนเอง"

เอลพิสรู้สึกจุกขึ้นมาในใจ มันเป็นเรื่องจริง

"ท่านรู้ ... ได้อย่างไร?"

"เออ ... คือข้า ...."

"เหตุผลของท่าน คือต้องการรีบใช้คนเหล่านั้น
ทำตามสิ่งที่ท่านมีเป้าหมายในใจไม่ใช่หรือ"
อาจารย์เจย์กล่าว

"จริงครับ ท่านอาจารย์ แต่มันก็เป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรือ
ที่ทุกคนจะได้ทำสิ่งที่เหมือนกัน" เอลพิสพยายามพูดแก้ตัว

"ท่านเข้าใจผิดแล้ว" อาจารย์เจย์กล่าว

"ท่านคิดว่าบทเพลงแห่งพระพรจะเกิดขึ้น
เมื่อทุกๆ คนทำสิ่งที่เหมือนกันหรือ"

"เปิดตาของท่านออก จงดูให้เห็นเต็มตาอีกครั้ง"

เอลพิสเปิดตาออก เขาพบว่าตัวเองกลับมายืนอยู่ที่กลางลาน
พร้อมกับนักเป่าแตรจำนวนมากที่กำลังเป่าแตรอยู่

สิ่งที่เอลพิสได้ยิน เอลพิสแทบไม่เชื่อหูตัวเอง

นี่พวกเขากำลังเล่นเพลงคนละเพลงอยู่นี่

แต่ทำไม มันช่างสอดประสานเข้ากันได้ดีเช่นนี้

และแล้ว แสงสว่างจากฟ้า และฝนแห่งสวรรค์
ก็พุ่งตรงลงมาที่กลางลานอีกครั้ง

เอลพิสยืนอยู่ไม่ได้เช่นเคย และต้องหาที่หลบซ่อนตัว

ซึ่งก็เห็นกระท่อมร้างอยู่ใกล้ๆ เขาจึงไปหลบที่นั่น

"ท่านอาจารย์ ... ท่านอาจารย์ ช่วยข้าด้วย
ข้าไม่อาจจะทานทนแสงนี้ได้แล้ว" เอลพิสร้องหาอาจารย์เจย์

"หลับตาของเจ้าเสีย" เสียงที่คุ้นเคยของอาจารย์เจย์ มาอยู่ใกล้เขาอีกครั้ง

"ท่านอาจารย์ ข้าไม่เข้าใจ ทำไมพวกเขาเล่นกันคนละเพลง
แต่กลับสอดประสานกันได้" เอลพิสถามด้วยความสงสัย

"ลืมแล้วหรือ ว่าเราเคยบอกท่านว่าอะไร" อาจารย์เจย์ถามเอลพิส

"บทเพลงแห่งพระพร จะเกิดขึ้น เมื่อทุกคนเล่นพร้อมกัน
ด้วยความเข้าใจ และยอมรับซึ่งกันและกัน"

"แต่เพราะท่านคิดว่า ความแตกต่าง คือความแตกแยก
ท่านจึงไม่ยอมให้เกิดความแตกต่าง"

"แต่ท่านอาจารย์ ถ้ามีความแตกต่าง
มันควบคุมยากนะครับ" เอลพิสแย้ง

"เพราะท่านคิดว่าท่านต้องควบคุม
ท่านจึงพยายามควบคุม" อาจารย์เจย์ตอบ

"และท่านก็เริ่มออกแรงกับการควบคุม จนกลายเป็นการบังคับ"

"และผลปลายทางจากการบังคับ คือความแตกแยก อย่างที่ท่านได้พบเจอ"

เออพิสรู้สึกปวดร้าวในจิตใจ กับคำตอบที่ตรงไปตรงมาของอาจารย์เจย์

"ท่านอาจารย์เจย์ ข้าควรจะทำอย่างไร
กับความแตกแยกที่เกิดขึ้นในหมู่ศิษย์ของข้า"

"ไม่ต้องทำอะไร" เสียงของอาจารย์เจย์ตอบกลับมา
เต็มเปี่ยมด้วยสิทธิอำนาจ

"เพราะหมดเวลาแล้วที่ท่านจะทำ"

เอลพิสรู้สึกผิด เสียใจกับสิ่งที่ทำไป

"ท่านอาจารย์ ข้าขอโทษ เป็นความโง่เขลาของข้า
ที่ไม่ได้สอนศิษย์ของข้า เหมือนที่อย่างที่ท่านเคยสอนข้ามาก่อน"

"ข้าควรจะบอกให้พวกเขา คิดค้นบทเพลงของตนเอง"

"ข้ารู้แล้วว่าเมื่อพวกเขามีความสุขกับสิ่งที่เค้าทำ
เค้าจะร่วมมือกันทำอย่างมีความสุข"

"บทเพลงอันแตกต่างของพวกเขา แต่เมื่อเล่นพร้อมกัน
จะสอดประสานกันได้เป็นอย่างดี อย่างข้าได้เห็น เมื่อสักครู่"

"ข้าขอโอกาสอีกครั้งได้ไหม ที่จะได้แก้ไขในความผิดพลาดนี้"
เอลพิสวิงวอนอาจารย์

"เปิดตาของเจ้าออกเถิด" อาจารย์เจย์กล่าวแก่เอลพิส

เอลพิสลืมตา เขาพบว่าตัวเองอยู่ที่กระท่อมกลางป่า ที่ๆ เค้าคุ้นเคย

และอาจารย์เจย์ ก็อยู่ตรงหน้าของเขา

"ท่านอาจารย์ ... ท่านอาจารย์" เอลพิสร้องหา
พร้อมกับทรุดตัวลงตรงหน้าท่านอาจารย์ที่เขารัก

"ลุกขึ้นเถิด เอลพิส" อาจารย์เจย์กล่าวกับเอลพิส

"ขอให้ข้าได้แก้ไขความผิดพลาดได้ไหมครับ ท่านอาจารย์"
เอลพิสถาม

"ไม่ใช่เรื่องของเจ้าแล้ว" อาจารย์เจย์กล่าว

"แต่เป็นเรื่องของทุกคน"

เอลพิสสงสัยกับคำตอบนี้ แล้วถามต่อว่า "ยังไงหรือครับ ท่านอาจารย์"

"ใกล้เวลาแล้ว ที่สัจจะชน ผู้รู้ถึงความจริง
จะเปิดเผยความจริงให้ทุกคนได้รู้"

"ผู้ใดที่รู้ถึงสัจจะ สัจจะก็จะทำให้เขาเป็นไท"

"และการเปลี่ยนแปลง จะเกิดขึ้น เพราะสัจจะ"

"สำหรับท่าน เอลพิส ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของท่าน
ท่านก็ได้ทำสิ่งที่ดีมามากมาย"

"และท่านจะขาดบำเหน็จ ก็หามิได้"

"เพียงแต่วันนี้ ความผิดพลาดที่ท่านทำขึ้น ไม่ใช่ท่าน ที่จะแก้ไข"

"และไม่ใช่เรื่อง ที่ท่านจะกระวนกระวาย"

"จงอยู่อย่างสงบ ที่นี่เถิด"

เอลพิสสงบใจลงได้

"ข้ายอมแล้วครับ ท่านอาจารย์"

"ขอบคุณสำหรับโอกาส ที่ผ่านมา"

"แม้จะผิดพลาด แต่เมื่อได้พบกับท่านอีกครั้ง
ข้าก็รู้สึกได้เหมือนวันแรกที่พบกันจริงๆ"

"ข้ามีความสุข เพราะเสียงเพลงของท่าน อย่างแท้จริง"

"และบทเพลงแห่งพระพร จะเกิดขึ้นในเมืองของข้าอย่างแน่นอน"

"ในไม่ช้านี้ อย่างแน่นอน"

***

จบบริบูรณ์

เอลพิส กับบทเพลงแห่งพระพร ตอนที่ 4


ศิษย์วงในของเอลพิส ผู้ซึ่งอยู่ในตำแหน่งประธานสำนัก
ได้ทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด

เขาได้ส่งจดหมายถึงศิษย์ทุกคน มีใจความว่า

"ทุกๆ ท่านคงทราบดี ถึงความเปลี่ยนแปลงที่แย่ลงของสำนักของเรา"

"ความสุขที่หายไปจากสำนักของเรา"

"เราต้องนำความสุขนั้นกลับมา"

"เราต้องตั้งคำถามกับจิตใจของเราจริงๆ จังๆ
เสียทีว่า เหตุใดเราถึงไม่มีความสุข"

"เป็นบทเพลงแห่งอนาคตใช่หรือไม่ ที่ทำให้เราไม่มีความสุข"

"เราต้องเรียกร้องให้ท่านอาจารย์เอลพิส ทบทวนตัวเองถึงสิ่งที่ท่านทำลงไป"

"เพราะเราไม่อาจจะใช้ชีวิตอยู่อย่างนี้ต่อไปได้ โดยปราศจากซึ่งความสุข"

จดหมายนี้สร้างความโกลาหลให้กับสำนักของเอลพิสอย่างใหญ่หลวง

ไม่ใช่แค่สำนักในเมืองของเอลพิส แต่รวมถึงเมืองอื่นๆ ด้วย

คนที่เคยเงียบ ก็ลุกขึ้นมาพูดอย่างจริงจัง ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น

คนที่จงรักภักดีกับเอลพิส
ก็ต่อว่าผู้ที่พูดพาดพิงถึงเอลพิสอย่างไม่ไว้เยื่อใย

คนที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการของประธานสำนัก
แต่ก็เหนื่อยที่จะอยู่กับเอลพิส ก็ขอถอนตัวออกไป

เมื่อเจรจากันไม่ได้ สำนักของเอลพิส แตกออกเป็นเสี่ยงๆ

มีกลุ่มที่อยู่กับประธานสำนัก
ซึ่งต้องการให้เกิดความสุขขึ้นอย่างแท้จริงในการบรรเลงบทเพลง

มีกลุ่มที่ยังภักดีกับเอลพิส ซึ่งก็แยกออกมา
และบรรเลงบทเพลงแห่งเอลพิส รวมทั้งบทเพลงแห่งอนาคตต่อไป

มีกลุ่มที่รับไม่ได้กับทั้งสองฝ่าย
แต่ก็ยังรู้สึกว่าบทเพลงแห่งเอลพิสเป็นสิ่งที่ดีที่ควรเก็บไว้
ก็แยกตัวออกมา

***

ว่ากันที่กลุ่มประธานสำนัก หลังจากก้าวออกมาจากเงาของเอลพิสแล้ว
เขาก็กล่าวกับศิษย์ที่เหลือว่า

"ความผิดพลาดที่ผ่านมา สอนเราให้รู้ว่า แท้ที่จริง
ต้นเหตุแห่งบทเพลงที่ทำให้มีความสุข
ก็คือความสุขของผู้บรรเลง ไม่ใช่ที่ตัวบทเพลง"

"ดังนั้น ข้าจึงอยากให้พวกท่าน มีอิสรภาพในวันนี้
ที่จะเป่าบทเพลงของท่าน เพื่อให้ความสุข แก่ตัวท่าน และชาวเมืองนี้"

ศิษย์ที่ได้ยินนั้นยิ้มแย้มแจ่มใส และทำตามที่ประธานสำนักเปิดโอกาสให้อย่างไม่รีรอ

ส่วนกลุ่มที่รับไม่ได้กับทั้งสองฝ่าย ผู้ที่เป็นประธานกล่าวว่า

"ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น สอนให้เรารู้ว่าต้องแก้ปัญหาให้ถูกต้อง"

"จงจำไว้ว่าเราไม่เคยเปลี่ยนไป แต่ท่านเหล่านั้นต่างห่างที่เปลี่ยนไป"

"เหตุฉะนั้น เราก็จะยังทำสิ่งดีที่เคยเป็นมา
และพัฒนาสิ่งอื่นๆ ให้ดียิ่งขึ้นด้วย เช่นกัน"

ศิษย์ที่มาด้วยก็ยิ้มแย้ม แต่บางคนก็เศร้าใจอยู่บ้าง
ที่ความภูมิใจในอดีตสูญสลายไปในวันนี้

และว่าที่กลุ่มของเอลพิส

เอลพิสไม่รอร้าที่จะจัดการประชุม กับผู้ที่ภักดี

"ความภูมิใจของเรา ถูกพังทลายด้วยคนที่ทรยศพวกเรา"

"แต่วันนี้ เราจะเสียใจต่อไปไม่ได้"

"เราต้องเข้มแข็ง ยืนหยัดต่อไป"

"ความเชื่อที่ว่า บทเพลงแห่งเอลพิสเป็นเพลงที่ให้ความสุขอย่างแท้จริง
ยังเข้มข้นอยู่ในใจของเรา"

"และบทเพลงแห่งอนาคต จะขับเคลื่อนเราทุกคนไปสู่อนาคตที่รุ่งโรจน์ได้"

ศิษย์ที่ภักดี ต่างตะโกนโห่ร้องด้วยความศรัทธาที่เปี่ยมล้นในตัวอาจารย์ของเขา

***

เมืองที่เคยมีความสุข ก็โกลาหลไม่ต่างกัน

ไม่ได้โกลาหลเพราะแค่ต่างคนต่างความเห็น

แต่โกลาหล เพราะต่างคนต่างก็เป่าแตร
จนน่ารำคาญ

ศิษย์ประธานสำนักเป่าอยู่ จู่ๆ ศิษย์ของเอลพิสก็มาแย่งที่

ทั้งที่เป่าเพลงเดียวกันแท้ๆ แต่แย่งกันเป่าจนฟังแล้วน่ารำคาญ

ชาวเมืองหลายคนเริ่มเอือมระอากับกับเสียงแตรของทั้งศิษย์ประธานสำนัก
และศิษย์เอลพิสในปัจจุบันกันมากขึ้น

ศิษย์ประธานสำนักบางคน ก็เลือกที่จะไม่เป่าเพลงแห่งเอลพิส
แต่นำเสนอเพลงของตัวเอง
ซึ่งชาวเมืองหลายๆ คน ก็ชอบ

แต่ศิษย์ของเอลพิส ก็ยังยึดมั่นในบทเพลงเดิม รวมถึงบทเพลงแห่งอนาคต

ที่ฟังมากเข้าเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่ไพเราะ

สำหรับศิษย์ที่แยกตัว ก็ยังชอบเป่าบทเพลงแห่งเอลพิสอยู่

แต่เป่าผิดๆ ถูกๆ จนกลายเป็นเพลงที่ดูไม่เป็นโล้เป็นพายเสียเท่าไหร่

***

ทุกอย่างวุ่นวายมากเข้า จนเอลพิสเครียดจัด

และในที่สุด เอลพิสก็หลับไป เพราะความเครียดนั้น

เขาตื่นขึ้นมาอีกที พบว่าตัวเองอยู่ในกระท่อมกลางป่าที่คุ้นเคย

และชาย คนที่เขาคุ้นเคยเช่นกัน

"ท่านคือใครหรือ" เอลพิสถาม

"ไม่ได้เจอกันนานนะ" ชายผู้นั้นหันกลับมา

เอลพิสตกใจ

"อาจารย์เจย์"

"มาเถิด เราจะให้ท่านดูอะไร"

***

ติดตามตอนต่อไป

เอลพิส กับบทเพลงแห่งพระพร ตอนที่ 3


อีกครั้งหนึ่ง ที่เอลพิส ได้นำศิษย์ของเขาทั้งหมด รวมถึงตัวเขา
ออกแสดงบทเพลงแห่งเอลพิส
เพื่อให้ความสุขกับชาวเมืองทุกคน

และแน่นอน ... เพื่อย้ำว่า บทเพลงแห่งเอลพิส เป็นบทเพลงแห่งความสุขที่แท้จริง

การแสดงทำท่าจะไปได้สวย แต่ก็มามีปัญหาในตอนสุดท้าย

ศิษย์รุ่นหลังๆ ของเอลพิสหลายคน ไม่สามารถเล่นเพลงได้ดีเท่ารุ่นแรกๆ

ทำให้บทเพลงฟังไม่พร้อมเพรียงกัน

การแสดงวันนั้น จบลงอย่างพอดูได้

และ "ฝนแห่งสวรรค์" ก็ยังไม่ปรากฎ เหมือนเคย

แต่คนทั้งหลายก็เริ่มสงสัยแล้วว่า เกิดอะไรขึ้นกับบทเพลงแห่งเอลพิส
ที่เคยให้ความสุขแก่พวกเขา

***

เอลพิสเสียใจ และโมโหอย่างมาก

"ทำไมพวกเจ้าถึงไม่ทุ่มเท ฝึกฝนให้ดีกว่านี้"
เอลพิสต่อว่าศิษย์เหล่านั้นที่ทำพลาด

"พวกเจ้าทำให้คนทั้งเมืองหมดความสุข ทั้งๆ ที่บทเพลงแห่งเอลพิส
คือความสุขของพวกเขา"

ศิษย์เหล่านั้นก็เสียใจ ที่ไม่สามารถทำได้ดีเท่าที่เอลพิสคาดหวัง

ไม่ใช่พวกเขาไม่ฝึกซ้อม

ไม่ใช่พวกเขาไม่อยากให้ชาวเมืองมีความสุข

แต่บทเพลงแห่งเอลพิส ไม่ถนัดมือพวกเขาจริงๆ

และแล้ว เมื่อทนแรงกดดันไม่ไหว ศิษย์เหล่านั้น
ก็หนีหายจากสำนักของเอลพิส

และไม่กลับมาเป่าแตรอีกเลย

***

นับวัน สำนักของเอลพิสใหญ่โตขึ้นก็จริง
แต่สิ่งที่เริ่มหายไปจากชีวิตของเอลพิส คือความสุข

ตื่นเช้ามา เขาก็ต้องไปดูการฝึกซ้อมของศิษย์รุ่นใหม่ๆ

กลางวัน ก็เฝ้ารอจดหมาย ที่ส่งมาจากสำนักของเอลพิส ที่เมืองอื่นๆ

ตอนเย็น ก็ต้องอยู่ประชุมกับศิษย์รุ่นแรก

ตกค่ำ ก็หลับไม่ลง เพราะยังต้องคิดสิ่งที่ต้องทำพรุ่งนี้ต่ออีก

ความสุขของเอลพิสที่หายไป
ก็ทำให้บทเพลงของเอลพิสหมดความสุขไปด้วย

ศิษย์ที่ยังอยู่กับเขา ก็ยังทำงานอยู่เช่นเดิม

ยังเป่าบทเพลงแห่งเอลพิสอยู่เหมือนเดิม

แต่ ... ที่ไม่เหมือนเดิม คือความสุข หายไปจากบทเพลง

แต่ก็อีกนั่นแหละ ... เพราะทุกๆ คนที่เป็นศิษย์เอลพิส
ได้รับการปลูกฝังค่านิยมว่า บทเพลงของเอลพิส คือความสุขที่แท้จริง

จึงไม่มีใครกล้าเชื่อสิ่งที่ตัวเองรู้สึกจริงๆ
และพยายามที่จะเป่าบทเพลงแห่งเอลพิสต่อไป

***

วันหนึ่ง เอลพิสก็จัดประชุมศิษย์ทุกคนอีกครั้ง

"ข้าเห็นสิ่งที่เกิดในหมู่พวกเรา และข้าคิดว่าพวกเราต้องทำอะไรบางอย่าง"

"บทเพลงแห่งเอลพิส ถูกใช้มานาน และก็เป็นบทเพลงแห่งความสุขที่แท้จริง"
"แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ก็ควรมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นในพวกเราบ้าง"

ศิษย์หลายคนฟังอย่างใจจดใจจ่อ ... สิ่งใหม่น่ะหรือ? ...

"ข้าได้ทำบทเพลงขึ้นมาอีกหนึ่งบทเพลง"

"ขอให้ชื่อมันว่า บทเพลงแห่งอนาคต"

ศิษย์หลายคนงง ... บทเพลงแห่งอนาคตหรือ

"เพราะอุดมการณ์ที่เรามี การให้ความสุขแก่ชาวเมืองนี้"

"และบทเพลงแห่งอนาคต จะเป็นสิ่งที่ให้ความสุขแก่ชาวเมือง
มากขึ้นกว่าเดิมได้อย่างแน่นอน"

แล้วเอลพิส ก็เริ่มบรรเลงบทเพลงแห่งอนาคตให้ศิษย์ทั้งหมดได้ฟัง

บทเพลงนั้นดูไพเราะก็จริง แต่สิ่งที่ศิษย์หลายคนสัมผัสได้ก็คือ
มันฟังแล้วดูเหนื่อยล้า มากกว่าจะเป็นความสุข

"มีใครจะพูดอะไรไหม" เอลพิสถาม

ทุกๆ คนเงียบ ไม่มีใครกล้าขัดอาจารย์ของพวกเขา

เพราะไม่อยากให้ท่านอาจารย์ของพวกเขาเสียใจ

และแน่นอน สิ่งที่ท่านอาจารย์คิดมาแล้ว ก็คงดีที่สุด

"ฉะนั้น นับตั้งแต่พรุ่งนี้ไป พวกเจ้าทั้งหลาย
จงฝึกฝนบทเพลงแห่งอนาคตเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเพลง
และเป่าให้ชาวเมืองได้ฟัง"

***

ยิ่งฝึกฝนบทเพลงแห่งอนาคต ศิษย์หลายคนก็เริ่มท้ออกท้อใจ
เพราะมันช่างเหนื่อยล้า และขาดความสุขอย่างมากมาย

และเมื่อบรรเลงให้ชาวเมืองได้ยิน ชาวเมืองก็รู้สึกได้ว่า
มันไม่ไพเราะเท่าบทเพลงแห่งเอลพิส

พอครั้นศิษย์ของเอลพิส บรรเลงบทเพลงแห่งเอลพิสไปด้วย
ชาวเมืองก็แทบจะเบือนหน้าหนี

เพราะมันไม่ให้ความสุขแก่พวกเขา เหมือนแต่ก่อน

ในขณะเดียวกัน ผู้เป่าแตรที่เคยอยู่กับเอลพิส
แล้วปัจจุบันเป่าบทเพลงของตัวเอง มีคนมาขอเป็นศิษย์เพิ่มมากขึ้น

ศิษย์เหล่านั้น ได้อิสระภาพ ในการบรรเลงบทเพลงของตัวเอง
ที่จะทำให้เกิดความสุข ทั้งต่อตัวเขาเอง และกับผู้ที่ได้ฟัง

ศิษย์ของเอลพิสเริ่มหายไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ

จนวันที่น่าสะเทือนใจได้เกิดขึ้น

***

ติดตามตอนต่อไป

เพื่อตอบสนองความต้องการของทุกท่าน

เอาไปเลยครับ 3 ตอนที่เหลือ 55555555

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เอลพิส กับบทเพลงแห่งพระพร ตอนที่ 2


เอลพิสกลับมายังเมืองของตนเอง
และได้เริ่มหน้าที่ในการเป่าแตรบรรเลงเพลงแห่งความสุขให้แก่เมืองของเขา

คนเป็นอันมากได้ยิน ก็มีความสุข

คนยากจนได้ยิน ก็มีความสุข

คนร่ำรวยได้ยิน ก็มีความสุข

ไม่ว่าใครได้ยิน ก็มีความสุข

แม้บางครั้ง บางคนอาจจะไม่ชอบเสียงแตรของเอลพิสในวินาทีแรกที่ฟัง

แต่เมื่อเขาได้ฟังไปเรื่อยๆ คนที่ไม่ชอบก็เปลี่ยนใจเป็นชอบได้

***

แน่นอนว่า มีคนหลายคนก็ได้ขอเป็นศิษย์ของเอลพิส เพื่อที่จะเป่าแตรแห่งความสุขนี้เช่นกัน

เอลพิสยินดีที่จะสอนคนเหล่านั้น อย่างจริงจังและเต็มที่

และศิษย์รุ่นแรกของเอลพิสก็กำลังจะจบการศึกษา

"ท่านอาจารย์เอลพิส บทเพลงใดคือบทเพลงสุดท้ายที่จะทำให้พวกเราเรียนจบได้ครับ"

"แม้ยากเย็น เราก็จะทำให้ได้ครับ"

เอลพิสนึกถึงวันที่ตัวเองรับการทดสอบจากอาจารย์เจย์ และก็ครุ่นคิดในใจ

"ถ้าเราทดสอบแบบที่อาจารย์เจย์เคยทดสอบเรา มันคงเสียเวลาน่าดู"

"เมืองนี้ต้องการความสุขโดยเร็ว ไม่ควรที่เราจะชักช้าในการให้คนไปทำงานนี้"

"เอาอย่างนี้ดีกว่า"

แล้วเอลพิสก็หันไปบอกลูกศิษย์ของเขาว่า

"บทเพลงสุดท้ายที่ข้าจะทดสอบพวกเจ้า คือบทเพลงแห่งเอลพิส"
"ซึ่งข้าได้ให้ความสุขแก่เมืองนี้ ด้วยบทเพลงนี้นั่นเอง"

"สิ่งที่ข้าต้องการจากพวกเจ้า คือการที่พวกเจ้าจะเป่าบทเพลงนี้ได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน
ทั้งท่วงทำนอง และความรู้สึกของบทเพลงนี้"

"นี่จะเป็นบรรทัดฐาน สำหรับศิษย์รุ่นต่อๆ ไป
ที่พวกเจ้าจะสั่งสอนให้พวกเขา เข้าถึงบทเพลงแห่งเอลพิสให้จงได้"

ศิษย์ทุกคนน้อมรับได้ใจเชื่อฟัง และฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตาย

และทุกๆ คนก็สำเร็จการศึกษาได้ ภายใน 1 เดือน

เอลพิสก็คิดในใจว่า "นี่ล่ะ เมื่อทุกๆ คนเป่าบทเพลงแห่งเอลพิสพร้อมๆ กัน
มันคงจะได้เป็นบทเพลงของพระพรอย่างที่ท่านอาจารย์เจย์เคยบอกไว้แน่ๆ"

***

และวันนั้นก็มาถึง เมื่ออาจารย์ และศิษย์รุ่นแรกได้เป่าแตรร่วมกันเป็นครั้งแรก
ให้ชาวเมืองได้ฟัง

ทุกๆ ชื่นชม และมีความสุขกันอย่างมากมาย

แต่ ... ไม่มีหมายสำคัญอย่างที่อาจารย์เจย์บอกไว้ก็คือ "ฝนแห่งสววรค์" ร่วงหล่นลงมา

"ไม่เป็นไร แค่คนมีความสุข ก็ดีแล้ว" เอลพิสคิดในใจ

***

เอลพิส และศิษย์ทั้งหลายของเขา กลายเป็นความสุขของชาวเมืองแทบทุกคน

ทุกถนนในเมือง มีศิษย์ของเอลพิสคอยเป่า "บทเพลงแห่งเอลพิส" เพื่อให้ความสุข อยู่ทุกๆ วัน

และก็ไม่ได้มีแค่เมืองของเอลพิส ศิษย์ของเอลพิสหลายคน
ก็ได้เดินทางไปยังเมืองอื่นๆ เพื่อนำความสุขไปให้พวกเขาด้วยเช่นกัน

***

ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไปได้ด้วยดี จนกระทั่งวันหนึ่ง ...

"อาจารย์ ข้าเป่าบทเพลงแห่งเอลพิสไม่ได้จริงๆ ข้าไม่ถนัด"
ศิษย์รุ่นหลังคนหนึ่ง บอกกับอาจารย์ของเขา
ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นแรกๆ ที่เอลพิสยังสอนเองกับมือ

"ถ้าเจ้าเป่ามันไม่ได้ จะให้ความสุขผู้คนได้อย่างไร" อาจารย์เตือน

"ข้าคิดว่า ข้าจะลองสร้างบทเพลงของตัวเอง ที่ข้าทำแล้วถนัดมือกว่า"

"ข้าเชื่อว่ามันไพเราะ และให้ความสุขกับคนได้เช่นกัน"

"เจ้าทำอย่างนี้ไม่ได้" อาจารย์กล่าวห้าม

"ถ้าเจ้าเป่าไปตามอำเภอใจของเจ้า มันจะเสียบรรทัดฐานที่วางไว้"

"แต่ข้าไม่ถนัดจริงๆ นะครับ ท่านอาจารย์" ศิษย์อ้อนวอน

"จงเชื่อฟัง เป่าบทเพลงของเอลพิสให้ได้
นี่คือบทเพลงแห่งความสุขที่แท้จริง" อาจารย์ตัดบท

ศิษย์คนนั้น เดินออกไป จิตใจของเขาห่อเหี่ยว
เพราะเขาก็พยายามแล้ว แต่บทเพลงแห่งเอลพิสมันไม่ถนัดกับตัวของเขาจริงๆ

เขาพยายามฝืนเป่าบทเพลงแห่งเอลพิสตามศิษย์คนอื่นไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ทนไม่ไหว

"ขอโทษจริงๆ นะครับท่านอาจารย์ และท่านอาจารย์ใหญ่เอลพิส" เขานึกในใจ

"ข้ารู้สึกว่า ข้าคงไม่สามารถเป็นศิษย์ของท่านต่อไปได้"

และแล้วเขาก็หายหน้าไปจากเมือง

ผ่านไปสักพัก เขาก็กลับมา พร้อมกับการเป็นผู้เป่าแตรตามที่เคยเป็นมา

แต่ท่วงทำนองของเขา ต่างกับท่วงทำนองของบทเพลงแห่งเอลพิส

ผู้ที่ได้ยินก็ประหลาดใจว่า "นี่เป็นบทเพลงอะไรหรือ
ทำไมถึงทำให้พวกเรามีความสุขได้เหมือนอย่างบทเพลงแห่งเอลพิสเลย"

***

เรื่องถึงหูเอลพิสเข้า ว่ามีคนเป่าแตร แต่คนละท่วงทำนองกับบทเพลงแห่งเอลพิส

เอลพิสรู้สึกโกรธ

อย่างแรก คนๆ นั้นเคยเป็นศิษย์ในสำนักของเอลพิส

อย่างที่สอง เขากลับไม่ยอมเป่าบทเพลงแห่งเอลพิส

เอลพิสจึงเรียกประชุมศิษย์ทุกคน กล่าวว่า

"ทุกคนคงรู้ดีว่ามีคนหนึ่งในพวกเราจากเราไป และวันนี้เขากลับมา ทำในสิ่งที่ต่างกับพวกเรา"

"สิ่งแรกที่เราต้องดูแล ก็คืออย่าให้ใครในพวกเราออกไปอีก"

"และสิ่งที่สอง จงสร้างค่านิยมว่า
บทเพลงที่ให้ความสุขได้มากที่สุด คือบทเพลงแห่งเอลพิส"

ศิษย์ที่จงรักภักดีทุกคนรีบปฎิบัติตามทันที

แต่ก็มีศิษย์บางคน เริ่มรู้สึกแปลกๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
และการตัดสินใจของท่านอาจารย์ใหญ่เอลพิส

"ผิดด้วยหรือ ที่คนๆ หนึ่ง ทำสิ่งที่แตกต่าง แต่ก็ให้ความสุขกับผู้อื่นได้เหมือนกัน"

***

ติดตามตอนต่อไป

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เอลพิส กับบทเพลงแห่งพระพร ตอนที่ 1


กาลครั้งหนึ่ง มีเด็กชายที่ใฝ่ฝันว่า อยากเห็นเมืองที่ตนเองอยู่มีความสุข

ชื่อของเขาคือ "เอลพิส"

เมืองที่เขาอยู่มีความทุกข์มากมายอยู่รอบตัวของเขา

คนยากจนก็มากมาย

คนไม่มีจะกินก็เยอะแยะ

คนเป็นหนี้ก็เต็มไปหมด

และที่สำคัญ คนรวยก็รวยล้นฟ้า แต่คนจนก็จนต่อไป

แม้เอลพิสจะเป็นลูกของคนที่มีฐานะอยู่บ้าง
แต่เมื่อเขาเองได้เห็นความทุกข์อย่างที่ว่ามา
เขาก็เกิดความรู้สึกว่า เขาน่าจะมีส่วนช่วยทำให้เมืองนี้มีความสุขได้

วันหนึ่ง เอลพิสได้ไปร่ำเรียนวิชาที่ต่างบ้านต่างเมือง ซึ่งเจริญกว่าเมืองที่เขาอยู่

แม้จะไม่ค่อยเต็มใจนักในตอนแรก แต่เพราะเห็นแก่พ่อและแม่ เขาจึงยอมเดินทางไปแต่โดยดี

***

เมืองที่เอลพิสไปร่ำเรียนก็เจริญกว่าที่เขาอยู่จริงๆ นั่นแหละ

อยู่ไปเรื่อยๆ เขาก็ชักชอบ จนบางทีก็อยากจะอยู่ไปตลอดเลย

แต่เมื่อนึกถึงความฝันที่อยากทำให้เมืองของตัวเองมีความสุขขึ้นมา

นึกถึงคนจนที่มีมากมาย

นึกถึงคนเป็นหนี้ที่มีเต็มไปหมด

เขาก็ตอบตัวเองว่า "ไม่ได้ ... เราต้องกลับไปช่วยพัฒนาเมืองของเรา"

วันหนึ่ง ในขณะที่เดินเล่นอยู่ เอลพิสได้ยินเสียงแตรมาจากที่ไกล

เป็นเสียงแตรที่ไพเราะมาก ... มากจนดึงดูดให้เขาค้นหาว่าต้นเสียงนั้นอยู่ที่ไหน

เขาเสาะหาไปทั่ว ด้วยความกระหายอยากรู้

จนมาถึงที่บ้านหลังหนึ่ง กลางป่าใหญ่

เขาพบชายคนหนึ่ง ผู้เป็นเจ้าของเสียงแตรอันไพเราะนั้น

เอลพิส ไม่รีรอที่จะเข้าไปหาชายผู้นั้น

"ท่านคือผู้เป่าแตรนี้หรือ เหตุใดท่านเป่าแตรได้ไพเราะขนาดนี้"

ชายผู้นั้น หันกลับมาตอบเอลพิสด้วยความอ่อนโยนว่า

"เพราะเราเป่า อย่างที่เราเป็น"

เอลพิสงุนงงเล็กน้อยกับคำตอบ แต่ก็ยังถามต่อไป

"เสียงแตรของท่าน ทำให้ข้ามีความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน"

ชายผู้เต็มไปด้วยความอ่อนโยน เดินเข้ามาใกล้เอลพิสและบอกว่า

"ความสุขที่ท่านได้จากเรา ไม่เหมือนที่โลกนี้ให้"

"และเสียงที่ได้ยิน คือเสียงแห่งชีวิต"

"บัดนี้ท่านได้เชื่อในเสียงแห่งชีวิต ท่านจึงมีชีวิตด้วยเสียงที่ได้ยิน"

เอลพิสรู้สึกแปลบปลาบใจ กับความสุขที่ไม่เคยได้รับมาก่อนในชีวิต

"ข้าเชื่อ ... เสียงแตรของท่าน ทำให้ข้ามีความสุข"

และชายผู้อ่อนโยนนั้นก็ได้นำแตรอีกคันมา มอบให้เอลพิส

"จงเป็นผู้เป่าแตรแห่งความสุขนี้ ให้แก่เมืองของท่านเถิด"

เอลพิสตกใจ "ท่าน ..... รู้ด้วยหรือว่าข้ามีความฝันอะไรในใจ"

"เรารู้" ชายผู้อ่อนโยนตอบเอลพิส

"และเราก็เรียกท่านให้ทำสิ่งนี้ แม้ท่านอาจจะสงสัยว่ามันจะได้ผลหรือไม่"

"เพราะความสุขที่แท้ เริ่มต้นจากภายใน"
"และท่านจะเป็นตัวแทนของเรา ในการบรรเลงเสียงแห่งความสุขนี้ แก่เมืองของท่าน"

"แล้วข้าจะเป่าอย่างไร ข้าเป่าไม่เป็น" เอลพิสแย้ง

"เราคืออาจารย์ของท่าน" ชายผู้อ่อนโยนตอบเอลพิส

"ท่านชื่อว่าอะไร" เอลพิสถาม

"เรียกเราว่า เจย์" ชายผู้อ่อนโยนเผยชื่อให้เอลพิสฟังเป็นครั้งแรก

"ท่านอาจารย์เจย์ ข้าขอคาราวะท่าน โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วย" เอลพิสคุกเข่าลง

"ลุกขึ้น และตามเรามาเถิด"

***

การฝึกฝนของเอลพิสก้าวหน้าไปเรื่อยๆ จนมาถึงวันแห่งการฝึกขั้นสุดท้าย

"บอกข้ามาเถิดท่านอาจารย์ บทเพลงไหนคือบทเพลงสุดท้ายที่จะทำให้ข้าสำเร็จวิชาจากท่านได้"

"แม้ยากแค่ไหน ข้าจะทำให้สำเร็จ"

อาจารย์เจย์หันมายิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับเอลพิส ผู้ซึ่งเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มมากขึ้นทุกวัน

"สิ่งสุดท้ายที่เราอยากได้ยินจากท่าน คือบทเพลงแห่งความสุข ที่ท่านเป็นผู้สร้างสรรค์ขึ้นมาเอง"
อาจารย์เจย์ตอบเอลพิส ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้เอลพิสไม่ใช่น้อย

และนั่นก็เป็นเหตุที่ทำให้เอลพิส ต้องกลับไปคิดบทเพลงของตัวเองออกมา
ซึ่งกว่าจะคิดออกมาได้ ก็ใช้เวลาอีกประมาณครึ่งปี

และกว่าจะเป็นที่พอใจของอาจารย์เจย์ ก็อีกครึ่งปีเช่นกัน

"ข้าเชื่อแล้วล่ะท่านอาจารย์ ว่าบทเพลงสุดท้ายที่ทำให้สำเร็จวิชานี่มันยากจริงๆ" เอลพิสบอกกับอาจารย์เจย์

"สิ่งที่ท่านทำได้ในวันนี้ จะเป็นความสุขแก่ผู้ที่ได้ยิน" อาจารย์เจย์ให้โอวาทแก่เอลพิส

"จงเป่าบทเพลงแห่งความสุขนี้ แก่เมืองของท่าน"

"ถ้าผู้ใดใคร่จะเป็นผู้มอบความสุขเฉกเช่นเดียวกับท่าน จงสั่งสอนเขาเหมือนที่เราสั่งสอนท่าน"

"ถึงกระนั้นก็ตาม ยังมีอีกหนึ่งบทเพลงที่ท่านไม่เคยได้ยิน นั่นคือบทเพลงแห่งพระพร"

เอลพิสสงสัย ... นี่ยังมีบทเพลงที่เขายังไม่ได้ยินอีกหรือ

"เรารู้ว่าท่านจะบอกเราว่า ' สอนข้าด้วยสิ ท่านอาจารย์' "
"แต่เราบอกความจริงกับท่านว่า ท่านจะได้ยินบทเพลงนี้ เมื่อท่านได้ร่วมเป่าแตรกับผู้อื่น"

"บทเพลงแห่งพระพร จะเกิดขึ้นเมื่อร่วมกันบรรเลง อย่างเข้าใจ และยอมรับ ซึ่งกันและกัน"

"เมื่อบทเพลงแห่งพระพรเกิดขึ้น ดูเถิดจะมีหมายสำคัญเกิดขึ้น"
"ท้องฟ้าจะเปิดออก และฝนแห่งสวรรค์จะตกลงมา"

"ไปเถิด กลับไปที่เมืองของท่านได้แล้ว" อาจารย์เจย์สั่งลาเอลพิส

"คาราวะท่านอาจารย์ พระคุณของท่านมากมายต่อชีวิตข้าเหลือเกิน"

"ข้าสัญญาว่า จะให้ความสุขกับเมืองของข้า ด้วยเสียงแตรแห่งความสุขนี้ ไปตลอดชีวิตของข้า"

"จะใช้ชีวิตนี้ให้สมกับที่ท่านอาจารย์เจย์สั่งสอนข้ามา"

"ข้าขอลา" เอลพิสร่ำลาอาจารย์ของเขา และกลับไปยังเมืองของตนเอง

***

ติดตามตอนต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

หวังดี แต่ไม่เข้าใจ = หวังร้าย แต่ไม่รู้ตัว


ตอนประมาณ ป.5 แม่ทำบ้านใหม่เสร็จ และก็จะเอาผมไปอยู่ด้วย

กำลังเก็บของจะเรียบร้อยอยู่แล้ว ย่าที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็กก็มาคุยด้วย

"ขิงน่าจะอยู่กับย่าต่อนะ จะได้เรียนโรงเรียนดีๆ ต่อ"

"อยู่กับย่าน่าจะมีประโยชน์กว่านะ"

"ลองบอกแม่ดูสิถึงเหตุผลที่ย่าให้ไป"

พอบอกแม่เท่านั้นแหละ แม่ร้องไห้ยกใหญ่ บอกว่าไม่รักแม่เหรอ ทำไมทำกับแม่อย่างนี้

สุดท้าย ก็เลยไปอยู่กับแม่

ความหวังดีของย่า เกือบทำให้ผมทำให้แม่เสียใจไปตลอดชีวิตแล้ว

(ซึ่งก็มารู้เอาทีหลังว่าย่ากับแม่ไม่ค่อยถูกกัน เฮ้อ ... ให้มันได้อย่างงั้นสิ)

พออยู่กับแม่ เมื่อจะขึ้นม. ปลาย แม่ก็มาคุยว่าขิงควรจะเรียนสายวิทย์นะ

"จะได้ทำมาหากินได้ง่าย"

ผมแอบร้องไห้ไม่ให้ใครเห็น เสียใจที่แม่ไม่เข้าใจผม ว่าผมน่ะเป็นคนชอบเรียนภาษากับประวัติศาสตร์ขนาดไหน

จนท้ายที่สุดพ่อก็มาช่วยพูดกับแม่ จนแม่ยอมให้ผมเรียนสายศิลป์ภาษา

เมื่อผมมาเชื่อพระเจ้า เชื่อจริงๆ จังๆ ได้สักพักก็ถูกหนุนใจว่า ควรรีบตั้งเป้าหมายจะเป็นหัวหน้าแคร์ให้ได้ภายใน 3 เดือนนะ

เลยฟิตใหญ่ ประกาศแล้วประกาศเล่า เค้าก็บอกว่าพูดอะไรน่ะ ไม่รู้เรื่อง

จนเมื่อได้พบกับพี่เลี้ยงคนหนึ่ง ที่ผมเคารพนับถือมาก เค้าก็บอกให้ผมหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ และวางรากฐานผมเสียใหม่

จนได้มาเป็นขิงแบบที่เห็นทุกวันนี้ ซึ่งไม่ต้องพยายามจะพูดเยอะ แต่พูดแล้ว "ทะลุใจ" ได้

คนหวังดีเยอะจริงๆ

เยอะมาก

แต่คนเข้าใจนี่น่ะสิ ทำไมมันหายากจัง

บางบริษัทที่ผมเคยทำงานให้ หวังดีกับผม สัญญาว่าจะจ่ายเงินให้ตรงเวลาเสร็จงาน

พอไปรับเงิน ก็ผัดผ่อนอยู่นั่นแหละว่าเงินงวดนี้หมดแล้ว รออีกหน่อยได้ไหม

ครั้งหนึ่งเหลืออดจริงๆ เลยยื่นคำขาดว่าจะนั่งมันอยู่ตรงที่รับแขกบริษัทเนี่ยแหละ จนกว่าจะจ่ายเงิน

ในใจก็คิดต่อไปด้วยว่า ใครมาติดต่ออะไรผมก็พูดให้เสียๆ หายๆ เป็นการ Discredit ไปเลย

ดีที่ไม่ได้ทำ และเค้าก็รีบจ่ายเงินผมแต่โดยดี

ผมเคารพในความหวังดี แต่เหนื่อยใจจริงๆ กับความไม่เข้าใจ

พระคัมภีร์เองก็ให้บทเรียนเรื่องนี้

ดาวิดหวังดี จะเอาหีบพันธะสัญญากลับเข้าเยรูซาเลม

เขาได้ใช้เกวียนลากหีบ

แต่เมื่อโคสะดุด อุสา คนที่อยู่ใกล้เหตุการณ์ที่สุดพยายามไปจับหีบไว้ไม่ให้ตกลงพื้น

เขาตายทันที

ความหวังดีของดาวิด กลับทำให้ชีวิตหนึ่งชีวิตสิ้นไป

เพราะ "ลืม" ศึกษาให้ดีว่า หีบพันธะสัญญาต้องใช้คนเลวีเท่านั้นเป็นคนเคลื่อนย้าย

ผมขอบคุณทุกคน ที่หวังดี กับชีวิตของผม

แต่ก็อยากบอกว่า คนที่เปลี่ยนชีวิตผมได้จริงๆ คือคนที่เข้าใจผม

ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อที่พูดกับแม่ว่าให้ขิงมันเรียนตามที่มันสนใจเถอะ วันนั้นขิงก็คงเป็นเด็กสายวิทย์ที่คะแนนแย่มากๆ

และคงสอบเข้าธรรมศาสตร์ไม่ได้

ถ้าไม่ใช่เพราะพี่เลี้ยงคนที่ผมนับถือบอกให้ผมเลิกทำตัวเป็น "คริสเตียนที่ดี" ในสายตาคนอื่น แล้วมาวางรากฐานชีวิตใหม่

ป่านนี้ผมว่าผมคงหลงหายไปเรียบร้อยโรงเรียนมารแล้ว เพราะลึกๆ ในใจตอนนั้นก็สับสนไม่น้อย

ในทางกลับกัน สิ่งที่ผมและเพื่อนรักอีกสองคนเคยทำลงไป อาจจะดู "ไม่หวังดี" กับใครหลายๆ คน ที่เป็น "คนที่อยู่สูงกว่า"

วันหนึ่ง ไอ้สามตัวนี้ เปิดบ้าน Center ที่ดูไร้ระเบียบเสียไม่มี

ไม่ได้วางกฎบ้าน ไม่ได้วางระเบียบอะไรชัดเจน

อยากอธิษฐานด้วยกัน ก็ปลุกกันมาอธิษฐาน

ชอบจัด Meeting คืนวันเสาร์ โปรแกรมก็ไม่มีอะไรนอกจากกิน คุย และนมัสการ

ใครมีปัญหา ก็เชิญมาระบายที่นี่

ดูแย่มาก แต่ ... ก็ช่วยทำให้คนที่กำลังจะหลงหาย กลับมาหาพระเจ้าได้อย่างเป็นธรรมชาติอีกครั้ง

ตอนนี้ ผมอยากเชิญชวนทุกๆ คนที่หวังดีกับผม มาลองทำความเข้าใจผมอย่างง่ายๆ

อย่างแรก ลองอยู่ในสตูดิโอกับผมสักครึ่งวัน

แล้วจะรู้ว่าทำเพลงน่ะมันเหนื่อย

อย่างที่สอง ลองเดินจากราชเทวี ไปถึง RCA ดู

แล้วจะรู้ว่า เวลาไม่มีเงินมันเป็นยังไง

(ขึ้นรถเมล์ยังสบายกว่าเลย)

อย่างที่สาม ... นึกไม่ออก

555

อย่าเลย แค่สองอย่างก็พอแล้วมั๊ง

ขอบคุณที่หวังดีครับ ผมแค่ต้องการความเข้าใจ หุๆๆๆๆ

วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552

กลัว ....


"ในความรักนั้นไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ได้ขจัดความกลัวเสีย ด้วยว่าความกลัวทำให้ทุกข์ทรมาน และผู้ที่มีความกลัวก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์ "

(ยน 4:18 TKJV)

พื้นฐานจิตใจของผมเป็นคนที่มีความกลัว

เมื่อก่อน หลายๆ ครั้งที่เกิดความกลัว "จิตสังหรณ์" ก็มักจะเริ่มทำงาน

ลงท้ายเหตุการณ์ก็เกิดขึ้น ตรงกับที่สังหรณ์ใจไว้จริงๆ

ปู่กับย่ามักจะถามผมว่า "ถ้าพ่อมีน้องอีกคน ขิงจะคิดยังไง"

ผมก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะพ่อกับแม่ ก็มีผมเพียงคนเดียว จะไปมีน้องอะไรเพิ่มได้ล่ะ

แต่ก็สังหรณ์ใจ ว่าพ่ออาจจะมี "แฟน" อีกคนก็ได้

ตอนนั้นก็กลัว กลัวว่าตัวเองจะเป็นเด็กบ้านแตก ครอบครัวไม่อบอุ่น

เลยพยายามข่มความกลัว ด้วยการเชื่อมั่นว่าพ่อรักเดียวใจเดียว

แต่แล้วสิ่งที่สังหรณ์ก็เป็นจริง เมื่อวันหนึ่งผมกับแม่ก็เจอพ่อกับ "น้องๆ" และ "แม่" ของน้องๆ โดยไม่ได้นัดหมายหรือตั้งใจไว้

ทั้งผมและแม่เสียใจ วันนั้นผมก็เอาแต่คิดว่า "เราเป็นเด็กมีปัญหา ครอบครัวไม่อบอุ่น"

(ทุกวันนี้ไม่คิดอะไรมากแล้วครับ และน้องของผม 2 คน ผมก็รักและเป็นห่วงในฐานะพี่คนโตจริงๆ)

เมื่อครั้งแม่ไม่สบาย ปวดเนื้อปวดตัวจนต้องไปหาหมอ

หมอเอกซ์เรย์ดูแล้ว ปรากฎว่าเจอก้อนเนื้อ (Seed) กดทับเส้นปราสาท ไม่ใช่เนื้อร้ายอะไร แต่ต้องผ่าตัดเพื่อจะได้หายปวด

ผมกังวลบ้าง แต่ในใจก็คิดว่าผ่าตัดแป๊บเดียวเดี๋ยวก็หาย

แต่อยู่ดีๆ ก็กลัว กลัวว่าแม่จะไม่อยู่ด้วย

เมื่อผ่าตัดเสร็จแล้ว ทุกอย่างก็ดูดีไม่มีปัญหาสำหรับแม่ ขยับตัวทำอะไรได้ไปตามเรื่อง

ยกเว้นเรื่องเดียว

ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอด

ไม่สามารถหายใจด้วยตัวเองได้

เป็นแบบนี้ได้เกือบครึ่งปี จนอาการของแม่ทรุดลง จนกระทั่งแม่ก็จากไปจริงๆ

แล้วก็ได้รู้ความจริงว่า การผ่าตัดครั้งนั้น เป็นการผ่าตัดที่ท้ายทอย ซึ่งเป็นจุดรวมเส้นปราสาทหลายๆเส้น

หมอ ... ตัดเส้นปราสาทหายใจเข้าไป

มิน่าล่ะ อาการทุกอย่างเลยไม่มีปัญหา ยกเว้นว่าหายใจไม่ได้อย่างเดียว

ซึ่งแค่อย่างเดียวที่ว่า ก็เตรียมจบชีวิตได้เลย แค่มันจะช้าหรือจะเร็ว เท่านั้นเอง

ทุกๆ ครั้งที่ "จิตสังหรณ์" ทำงาน ผมก็มักจะเริ่มกลัวอะไรที่มันไม่น่าเป็นไปได้

แต่มันก็เป็นไปได้ อยู่บ่อยๆ

เมื่อก่อนผมก็เป็นหมอดูไพ่ยิปซีกับเค้าเหมือนกัน

เคยมีญาติห่างๆ มาดู ปรากฎว่าเขาจับไพ่ Tower ในตำแหน่งที่ "อันตราย" มากได้

ไม่ถึงสองสัปดาห์ เขาก็เสียชีวิต

เวลานั้น "จิตสังหรณ์" ของผม มาพร้อมกับความกลัว

มันมีแต่เรื่องแย่ๆ และยิ่งทำให้ผมอยู่กับความกลัวมากยิ่งขึ้น

พอเมื่อมาเชื่อพระเจ้านั่นล่ะครับ ที่ผมเริ่มจะเข้าใจว่า "สัมผัสที่ 6" (Sixth Sense) ไม่ใช่เรื่องของความกลัว แต่เป็นเรื่องของความรัก

วันหนึ่ง ผมลองพูดภาษาพระวิญญาณด้วยตัวเอง ตั้งใจว่าจะพูดให้ได้สักครึ่งชั่วโมงตามที่ผู้นำเค้าหนุนใจมา

ตอนนั้นผมไม่เคยคิดว่าจะพูดอะไรอย่างนั้นได้นานๆ หรอก คิดว่าคงเป็นอะไรที่น่าเบื่อ

แต่เมื่อพูดเข้าจริงๆ เริ่มเกิดความรู้สึกกลัว ... รู้สึกว่าห้องที่เราอยู่ไม่ได้มีแค่เราคนเดียว

ดันปิดไฟมืด เปิดแต่ไฟโต๊ะอ่านหนังสืออีก

กลัวมากๆ ไม่เคยกลัวแบบนี้มาก่อน เหมือนจะมีอะไรมาอยู่กับตัวเรา

แต่ชั่วขณะหนึ่ง ความกลัวหายไป และสัมผัสได้ว่า "วิญญาณ" ที่อยู่กับเรา เป็นวิญญาณที่ "สะอาด"

ยิ่งพูดภาษาพระวิญญาณ รู้สึกยิ่งถูก "ล้าง" ให้สะอาด

รู้สึกได้ว่ามันคือความ "รัก" ที่โอบล้อมชีวิตของเราไว้

หลังจากวันนั้น ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิม

"จิตสังหรณ์" ถูกใช้เพื่อรับการนำจากพระเจ้า ซึ่งเรียกกันแบบคริสเตียนว่า "การทรงนำ"

การนำของพระเจ้า เต็มไปด้วยความรัก

***

ทำไมความรักของพระเจ้าจึงสมบูรณ์แบบ นี่คือสิ่งที่ผมสงสัย จนวันหนึ่งที่ผมได้เข้าใจถึงเรื่อง "ตรีเอกานุภาพ" อย่างแท้จริง

พระองค์ทรงเป็น "แหล่งแห่งความรัก" ได้ เพราะว่าใน 3 พระภาคของพระองค์นั้น ทรง "รักซึ่งกันและกัน"

พระบิดารักพระบุตร พระบุตรรักพระบิดา พระวิญญาณเชื่อมความรักของพระบุตรและพระบิดา

ความรักของพระองค์จึงไม่มีเงื่อนไข เพราะเงื่อนไขของความรักที่สำคัญคือ "การได้รัก" และ "การได้ถูกรัก" สมบูรณ์แบบแล้วในตรีเอกานุภาพ

พระเจ้า จึงไม่ใช่พระเจ้าที่กลัวคนไม่รัก เพราะต่อให้มนุษย์ไม่รักพระองค์ พระองค์ยังทรงไว้ซึ่งความสมบูรณ์แบบในความรัก

และเพราะพระองค์สมบูรณ์แบบเช่นนี้แหละ พระบิดาจึงกล้าส่งพระบุตรมาเป็น "ค่าไถ่" ความบาปของมนุษย์ทั้งหมด

และพระบุตรก็กล้าที่จะให้พระวิญญาณ อยู่กับทุกคนที่เชื่อ เพื่อเขาจะได้มี "ผู้ช่วย" ตลอดการดำเนินชีวิตบนโลกนี้

***

ชีวิตที่ผ่านมา ทำให้ผมพอเข้าใจถึงแรงขับเคลื่อน 2 อย่างหลักๆ สำหรับชีวิตมนุษย์

นั่นคือความกลัว และความรัก

และแรงขับเคลื่อน 2 แบบนี้ ให้ผลลัพธ์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

ถูกขับเคลื่อนด้วยความกลัว ชีวิตก็จมอยู่กับความทรมาน

ถูกขับเคลื่อนด้วยความรัก ชีวิตมีเสรีภาพ

"ความกลัวทำให้ทุกข์ทรมาน" สิ่งที่พระคัมภีร์พูดไว้คือเรื่องจริง ที่เราทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้นกับชีวิตเรา

แต่เรื่องจริงอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ เราทุกคนก็มักจะตกอยู่ในความกลัวเสมอ

อิสราเอล หลังจากตกเป็นเชลยมานาน ผ่านความทุกข์มานับครั้งไม่ถ้วน พวกเขาก็ "กลัว" ที่จะกลับไปเป็นอย่างเดิมอีก

การยึดพระบัญญัติของพวกเขาอย่างเคร่งครัด กระทำไปเพราะความกลัวที่จะกลับไปเป็นอย่างเดิมอีก

ปัญหามันอยู่ตรงนี้

ยิ่งกลัว ก็ยิ่งขาดสติ ยิ่งขาดสติ ก็กระทำสิ่งต่างๆ อย่างไร้สติ

ถ้าการยึดพระบัญญัติกระทำไปด้วยความรัก พวกเขาคงไม่ต้องพยายามเพิ่มกฎเกณฑ์ที่ "เกิน" กว่าพระเจ้าสั่ง

แต่เพราะความกลัว ความเคร่งครัดจนเกินพอดีจึงเกิดขึ้น และสุดท้ายก็กลายเป็นการบิดเบือนความหมายที่แท้จริงของพระบัญญัติไป

ซึ่งสิ่งเหล่านี้พระเยซูไม่เห็นด้วย และทรงใช้เวลาอย่างมากในการ "เปลี่ยน" ความคิดคนในยุคนั้น

สุดท้ายแล้ว แม้สิ่งที่เรากลัวจะเป็นสิ่งที่ถูก แต่เมื่อแรงขับเคลื่อนมันมาจากความกลัว ยังไงก็จบลงที่การทำผิดอยู่ดี

***

"เรารัก เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน"

พระเจ้ารักเรา นี่ก็เป็นเหตุผลมากพอแล้วที่เราจะหลุดจากความกลัว

และก็เป็นเหตุผลที่เราไม่ควรขับเคลื่อนผู้อื่นด้วยความกลัวด้วยเช่นกัน

มันอาจจะได้ผลในระยะสั้น แต่ในระยะยาวมีแต่เสียกับเสีย

เหมือนกับผม ... ที่หลายๆ ครั้ง "จิตสังหรณ์" และ "ความกลัว" ก็มักจะผุดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ

ยังอยู่ได้ก็เพราะพระคุณพระเจ้าล้วนๆ เลย

หุๆๆๆๆ อย่าปล่อยให้ "จิตสังหรณ์" ของขิงทำงาน

อาจจะเกิดการ "สังหาร" ก็ได้

5555