วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552

โลกแห่งความตั้งใจ กับโลกแห่งความจริง

โลกแห่งความตั้งใจ เริ่มต้น ด้วยประโยคบอกเล่า


โลกแห่งความจริง เริ่มต้น ที่ประโยคคำถาม


โลกแห่งความตั้งใจ บอกว่าเรา ควรจะเป็นอย่างไร


โลกแห่งความจริง ไม่บอกอะไร จนกว่าคุณจะบอกตัวคุณเองได้ ว่าคุณเป็นใคร


โลกแห่งความตั้งใจ เริ่มต้นด้วยฝันสุดสวย จบลงด้วยน้ำตา


โลกแห่งความจริง เริ่มต้นที่ฝันสลาย จบลงด้วยชีวิตที่เข้าใจโลกมากขึ้น


โลกแห่งความตั้งใจ บอกว่าสิ่งที่เรายึดถือ คือคำตอบสุดท้าย


โลกแห่งความจริง บอกว่าถ้ามันไม่เวิร์ค ก็อย่าไปยึดติด


โลกแห่งความตั้งใจ ทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจ จบลงอาจไม่ได้อย่างที่ตั้งใจ


โลกแห่งความจริง ใช้ความตั้งใจและความเข้าใจควบคู่กัน


โลกแห่งความตั้งใจ สอนให้เราเรียนสูงๆ จะได้งานดีๆ เงินเดือนเยอะๆ


โลกแห่งความจริง สอนให้เราหาโอกาส และใช้มันอย่างชาญฉลาด


โลกแห่งความตั้งใจ สนับสนุนให้คนเดินตาม Pattern


โลกแห่งความจริง ถ้าคุณเดินตาม Pattern คุณคือ Nobody ไม่ใช่ Somebody


โลกแห่งความตั้งใจ อยากที่จะเป็น "ทุกอย่าง"


โลกแห่งความจริง คุณก็เป็นแค่ "บางอย่าง"


โลกแห่งความตั้งใจ ตั้งใจกับหลากหลายวัตถุประสงค์ ในหนึ่งช่วงเวลา


โลกแห่งความจริง เลือกทำสักวัตถุประสงค์ ในเวลานั้นๆ


โลกแห่งความตั้งใจ บอกว่า เราต้องช่วยผู้อื่น


โลกแห่งความจริง ถามว่าคุณเป็นใคร มีอะไรจะช่วยเขาได้


etc. .....................


วันนี้เราอยู่ในโลกใบไหน?

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

แผล ... เรื่องที่ห้ามมั่ว

ตอนสมัยเรียนมัธยม ผมเล่น Volley Ball กับเพื่อน ...


เล่นเพราะความจำเป็น เพราะต้องสอบ Under ลูก Volley ให้ผ่าน


เล่นแล้วก็คันๆ ที่แขน ... ก็เกา ... เกา ... แล้วก็เกา


ตุ่มก็ขึ้น หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง


ในใจตอนนั้นก็คิดว่า "สงสัยจะต้องบีบ ให้หนองมันออกมา"


ก็บีบ ... บีบ ... บีบ .......


มันไม่ออก ... แถมตุ่มก็บวมโตขึ้น จนผิดปกติ


สุดท้ายก็ต้องไปหาหมอที่คลินิก ... โดน "เจาะ" ตุ่มนั้น เพื่อระเบิดเอาหนองที่อยู่ในตุ่มออกมา ... เจ็บตัวไปอีกกว่า 2 สัปดาห์ และก็โดนแม่ด่าว่า "ทำไมมือซนอย่างนี้"


เท่านั้นยังไม่พอ .... หลังจากหนองหายหมดแล้ว ผมก็อุตริจะรักษาแผลเอง เลยใช้แอลกอฮอล์บวกทิงเจอร์จัดการแผลต่อด้วยตัวเอง


ผลลัพธ์ที่ได้ ... ก็คือรอยแผลเป็นที่ท่อนแขนขวา ... เห็นได้จนทุกวันนี้


"แผล" เป็นเรื่องที่มั่วๆ กับมันไม่ได้ ... เพราะถ้ามั่วๆ ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ "สาหัส" กว่าเดิม


แผลใจ ... ก็คงไม่ต่างกัน


การไม่ยอมรับว่าชีวิตของเรา สามารถเกิดความอักเสบ เกิดแผลขึ้นได้ นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตที่สาหัสในภายภาคหน้าได้


(มก. 2:17) ครั้นพระเยซูทรงได้ยินดังนั้น พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า "คนปกติไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บต้องการหมอ เรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาปให้กลับใจเสียใหม่"


ไม่ว่าเราจะตั้งใจดี หรือตั้งใจแย่ขนาดไหน ... เราก็มีแผล กันได้ทุกคน


ทีนี้จะทำแผลยังไง ...


จริงๆ ร่างกายคนเรา มีธรรมชาติที่อัศจรรย์ ในการห้ามเลือดด้วยตัวของมันเอง ... แต่ถึงกระนั้น ... แผลหนักๆ ก็ต้องอาศัยการห้ามเลือดที่ถูกวิธี เพื่อไม่ให้เลือดออกจนหมดตัว


เวลาใจเป็นแผล ... คงไม่มีอะไรจะห้ามเลือดได้ดีกว่า "พระคุณ" ของพระเจ้า ... ซึ่งพร้อมเสมอ เพื่อชีวิตของเราทุกคน ที่เป็นคนเจ็บ


ห้ามเลือดได้ ... ก็เหลือแต่ขั้นตอนการฟื้นฟูสภาพ ให้กลับคืนดี


เป็นเวลาที่ต้องเลือก ... ว่าจะทำตัวดูดี ... หรือจะรับการรักษาจริงๆ


เมื่อก่อน ผมติดนิสัยที่จะชอบปิดพลาสเตอร์ที่แผลตลอดเวลา ... แล้วผลที่ได้ก็คือ ... แผลเน่า!


ท้ายที่สุด ก็พบว่าเราต้องสมดุล ... ระหว่างการเปิดแผล เพื่อให้แผลรักษาตัวมันเอง กับการปิดแผล ป้องกันการติดเชื้อซ้ำซ้อน


รวมถึงการใส่ยาที่แผล ... ซึ่งเป็นเวลาแห่งความปวดแสบปวดร้อนสุดๆ


ใจที่มันเป็นแผล ... จะแสร้งแสดงหน้าตาว่าดูดีอยู่ ... มันก็คงจะไม่มีอะไรดีขึ้น นอกจากจะกรัดกร่อน ให้แผลที่มีอยู่ "เน่า" กว่าเดิม


เรื่องแบบนี้เห็นแก่หน้าไม่ได้ ... คงต้องเห็นแก่ใจ ...


แผล ... ไม่ได้หายภายในวันเดียว ... และต่อให้ใส่ยาขนานดีขนาดไหน ... มันก็ไม่หายภายในวันเดียว


บางทีด้วยความใจร้อน ... มันก็อยากจะหายเร็วๆ อยากทำตัวใช้งานใช้การได้เร็วๆ เลยพยายาม "ฉุดคอเสื้อตัวเอง" ขึ้นมา ไม่สนใจหัวใจตัวเอง ... เดินหน้าต่อไป


ก็อาจจะพบกับความสำเร็จ ... พร้อมกับแผลฉกรรจ์ ... ที่ยากจะรักษา ไปพร้อมๆ กันก็เป็นได้


การรักษาแผล เป็นเรื่องที่ไม่ยาก และไม่ง่าย ... ปัจจัย อยู่ที่ความเข้าใจ และการยอมรับตัวเอง


มันน่าอับอาย .... ใช่! ... มันน่าอายมากๆ แต่ถ้าเราไม่ยอมอับอายกับมัน ... มันจะทำให้เราอับอายกว่าเดิม ... ในไม่ช้า


แต่ผู้ที่ยอมรับความอับอาย การรักษาก็เป็นของเขา!


(มธ. 5:3) "บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายจิตวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะอาณาจักรแห่งสวรรค์เป็นของเขา"


ใครจะไปรู้ ... ว่าในเวลาแห่งความเจ็บปวด ... ทำอะไรไม่ได้มาก ... ทำได้เท่าที่จะทำได้จริงๆ ... การเกิดผล อาจจะมาก กว่าเวลาที่เราบ้าพลังทำมันได้ทุกอย่าง ก็เป็นไปได้


ใครจะไปรู้ ... ว่าช่วงเวลาหลายๆ ปี ... ที่อาจารย์ยองกี โช นอนป่วยอย่างไม่มีวี่แววจะหาย ทำได้อย่างเดียวคือเทศนาวันอาทิตย์ ... เป็นช่วงเวลาที่คริสตจักร Yoido Full Gospel เจริญเติบโตอย่างมากมาย จนกลายเป็นคริสตจักรเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในเวลานั้น


และใครจะไปรู้ ... ว่าเมื่อ 2000 กว่าปีก่อน ... ชายคนหนึ่งที่เจ็บปวดที่สุดในโลก ... กลับให้ความเจ็บปวดที่เขาได้รับ เป็นการปลดปล่อยคนทั้งโลกให้หลุดพ้นจากบาปได้


แผลของเรา ... ก็เป็นพร ... ต่อผู้อื่นได้


และถ้ามันจะเป็นพรต่อผู้อื่นได้มาก .... มันก็คงต้องเป็น "รอยแผลเป็น" ที่เห็นได้ชัดๆ จับต้องได้ ... อย่างที่พระเยซู ... ทรงมีรอยตะปู ที่มือของพระองค์อย่างชัดเจน เป็นเหตุให้สาวกเชื่อ ... ว่าพระองค์ฟื้นจากความตายจริงๆ


จะไม่มีใคร "ทนพิษบาดแผลไม่ไหว" อย่างแน่นอน ... ถ้ารักษา ... อย่างถูกต้อง


Let His Mercy Heal Me & You!

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

ชีวิตมหัศจรรย์ ของ เรอัล กับ ลูมิ ตอนที่ 6

"อ้าว ... เป็ดกับหมีสองตัวนี้จะไปไหนกันเหรอ" ชายชราคนหนึ่งถามเรอัลกับลูมิ ที่กำลังเดินมาเป็นคู่ ด้วยท่าทางที่เอาจริงเอาจัง


"อ๋อ ... เราจะไปหาท่านเจ้าพิภพ ที่ภูเขาใหญ่นั่นไงครับ" เรอัลตอบ


"อืม ... ไปกันดีๆ นะ" ชายชราตอบ


เรอัลกับลูมิเดินผ่านชายชราคนนั้นไป และก็เริ่มสงสัยขึ้นมาในใจ


"เรอัล ... แปลกมั๊ย ที่คุณตาใจดีคนนั้น เขาคุยกับเราได้น่ะ" ลูมิถาม


"เออ .... ใช่!" เรอัลสะดุดคิดขึ้นมาได้


ทั้งสอง รีบหันหลังกลับไปหาชายชราคนเดิมทันที


"คุณๆๆๆ ตา ... ทำๆๆๆๆ ไม คุณตาคุยภาษาสัตว์กับพวกเราได้ล่ะครับ" เรอัลถาม ด้วยความสงสัย


"เรื่องมันยาวนะ ... หมีกับเป็ดเอ๋ย ... จะฟังตาเล่าหน่อยมั๊ยล่ะ" ชายชราใจดีตอบเรอัลกับลูมิ


"ได้ครับ/ค่ะ" เรอัลกับลูมิพร้อมใจกันตอบ


"ตาน่ะ ... เคยขอพรจากท่านเจ้าพิภพ ... ว่าอยากพูดคุยกับสัตว์ได้ จะได้ดูแลฝูงแพะแกะได้ด้วยความเข้าใจ"


"กว่าจะขึ้นไปหาท่านได้เนี่ยนะ ... โอย ... ลำบากน่าดู คิดแล้วก็ประหลาดใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมตอนตาหนุ่มๆ ตาถึงทำไปได้"


"งั้นคุณตาก็รู้สิค่ะ ... ว่าจะต้องเดินทางยังไง ... คุณตาบอกพวกเราหน่อยนะคะ" ลูมิอ้อนวอนชายชรา


"อืม ... มันนานมาแล้วน่ะสิ ... ตาว่าตาก็ลืมๆ ไปเยอะแล้วล่ะ" ชายชราตอบกลับมา


"แต่สิ่งสำคัญ ... ตาอยากจะบอกพวกเจ้าว่า หนทางที่ไกลแบบนี้ มีเพียงศรัทธา อาศา และเสน่หา เท่านั้น ที่จะช่วยพวกเจ้าได้"


"ศรัทธา อาศา เสน่หา ... มันคืออะไรเหรอครับคุณตา ... เกิดมาก็พึ่งจะเคยได้ยิน" เรอัลถามด้วยสงสัยสุดๆ


"เดี๋ยวพวกเจ้าก็รู้ ระหว่างเดินทางไปน่ะแหละ ... มา มา มา ... เดินกันมาท่าทางจะไกล ... มาพักพ่อนที่บ้านตาก่อนเถอะนะ มีต้นไม้ใหญ่ๆ ให้พวกเจ้านอนได้เต็มไปหมดเลย ... ดูสิ นี่ก็เย็นแล้วนะ อยู่กับตาที่นี่สักคืนหนึ่ง พรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อนะ ... หมีกับเป็ดเอ้ยย"


"ขอบคุณครับ/ค่ะ" เรอัลกับลูมิขอบคุณคุณตาใจดี ที่ให้ที่พักกับพวกมัน


"เดี๋ยวรอดูพรุ่งนี้เช้า ตามีอะไรจะทำให้พวกเจ้าประหลาดใจ" ชายชราใจดีทิ้งท้าย และก็เข้าบ้านไป


***


"คืนนี้เราดูดาวอะไรกันดี เรอัล" ลูมิถาม


"อืม ... ง่วง" เรอัลตอบ


"อารายยยย ... ปกติชั้นง่วงก่อนเธอนะ ... มาดูดาวกันเร็ววว" ลูมิคะยั้นคะยอ


"ไม่เคยเดินทางไกลขนาดนี้นี่ ... โอยยย ง่วง ... หลับ" เรอัลงัวเงีย ... และก็หลับไปหน้าตาเฉย


"หมี! ... หมีนี่ .... เค้างอนตัวเองแล้ว ... ตื่นๆๆๆๆๆ" ลูมิ ที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แม้จะเดินทางมากับเรอัลทั้งวัน พยายามปลุกเรอัล


แต่ก็คงจะไม่ได้ผลซะแล้ว ... เพราะเวลาหมีหลับ ... หมีหลับลึก (5555)


***

เช้าวันใหม่มาถึง ... เรอัลกับลูมิสะลึมสะลือตื่นมาพร้อมๆ กัน


และก็เห็นอะไรแปลกๆ ที่ชีวิตนี้ไม่เคยเห็นมาก่อนตรงหน้าทั้งคู่


"เหอ! ... อะไรเนี่ย" เรอัลงุนงง กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า


รูปร่างของมัน มีล้อ 2 สอง ด้านหลังมีล้อเล็กๆ อยู่ข้างๆ ล้อใหญ่ข้างละล้อ ทุกอย่างเชื่อมต่อกันจนเป็นชิ้นเดียวกัน


"งงใช่ไหมล่ะ" ชายชราใจดีถามเรอัลกับลูมิ


"คุณตาค่ะ ... ประหลาดจริงๆ ค่ะ แบบที่คุณตาสัญญาว่าไว้เมื่อคืนเลย" ลูมิตอบ


"เขาเรียกว่า จักรยาน" ชายชราเฉลยให้ฟัง


"จักรยาน!" เรอัลกับลูมิ พูดเป็นเสียงเดียวกัน ด้วยความงุนงงมากขึ้น


"อธิบายมาก ... พวกเจ้าก็งงเปล่าๆ มา ... ตาจะสอนพวกเจ้าให้ใช้ไอ้สิ่งนี้ ให้เป็นประโยชน์ก็แล้วกัน"


และแล้ว เราก็ได้เห็นว่า โคอาล่าตัวหนึ่ง หัดขี่จักรยาน ที่ออกแบบมาพิเศษพอดีๆ กับรูปร่างของโคอาล่าอย่างเรอัล โดยมีลูมิ ซ้อนท้ายอย่างปลอดภัย ในตะกร้าที่ติดด้านหลัง ซึ่งทำไว้เป็นพิเศษ


"คุณตาคิดและทำมันได้ยังไงครับ มันช่วยพวกเรามากเลยนะครับ สำหรับการเดินทางไกลๆ" เรอัลออกอาการดีใจ เมื่อเริ่มหัดขี่จักรยานจนคล่องตัว


"ไม่ได้คิดอะไรใหม่เลย ... ของๆ มนุษย์เขาใช้กัน ตาก็แค่เห็นว่าทางมันไกล เดินกันอย่างเดียวอาจจะเหนื่อย ไปไม่ถึงภูเขา"


"เอาล่ะ ... ตาทำมันมาเพื่อพวกเจ้า ... ไปให้ถึงภูเขาให้ได้นะ" ชายชรายิ้ม และเอ่ยคำอำลาเรอัลกับลูมิ


"ขอบคุณคุณตามากครับ/ค่ะ เราสัญญาว่า เมื่อเราทำสำเร็จ เราจะมาหาคุณตา เป็นคนแรกเลยครับ/ค่ะ" เรอัลกับลูมิ ให้คำสัญญากับชายชราใจดี


และการเดินทาง ก็ได้เริ่มต้นอีกครั้ง สำหรับเรอัล ลูมิ ... และจักรยาน ... ของคุณตาใจดี


ติดตามตอนต่อไปคร้าบบบบ

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

ความทันสมัย ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลง

เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับความจริงกันว่า คนเราทุกคนอยาก “ทันสมัย”


และชาติไทย คนไทยอย่างเรา ก็เป็นคนที่รักความทันสมัย ไม่น้อยหน้าชาติอื่นๆ


แต่ความทันสมัย ... ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ... และการยึดติดอยู่กับความทันสมัย ก็ทำให้การเปลี่ยนแปลงไม่เกิดขึ้นจริง


***


ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่สอนเราได้ดี ถึงความทันสมัย ที่มีมากมายในสังคมของเรา


แต่เป็นความทันสมัย ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงถึงแก่นแท้ ของความเป็นคนไทย


แท้ที่จริงแล้ว ประวัติศาสตร์ไทย ไม่ได้ถูกจดบันทึกกันอย่างเป็นเรื่องราวสักเท่าไหร่ ที่พอจะจดบันทึกได้ ก็เป็นการจดบันทึกบนพื้นฐาน “ฟัง” จากการบอกเล่ามาอีกต่อหนึ่ง


และถ้านับหลักฐานที่พอจะน่าเชื่อถือที่สุด ก็ไม่ไกลเกินสมัยกรุงศรีอยุธยา


แต่เมื่อวันหนึ่ง ชาติตะวันตก ... ผู้พกพาลัทธิชาตินิยม ... เข้ามาระราน และรุกรานหลายๆ ประเทศทางเอเชีย และกำลังจะคืบคลานเข้ามาสู่ประเทศไทย


เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้จริงๆ ที่สยามประเทศ ณ เวลานั้น ต้อง “ปรับตัว” ให้ทันสมัย เพื่อหลีกเลี่ยงข้อหาของการเป็น “บ้านป่าเมืองเถื่อน” ที่ชาติตะวันตก มักใช้เป็นข้ออ้างในการยึดครองประเทศ


ความทันสมัยอย่างแรก ที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน ก็คือ “การมีประวัติศาสตร์ชาติ” ที่ทำให้ชาติตะวันตกยอมรับได้ว่า ชาติไทยก็เป็น “อารยชน” ที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาช้านาน ไม่ได้เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนมาจากไหน


และแล้ว ... ประวัติศาสตร์ชาติก็เกิดขึ้น ... ด้วยศิลาจารึก หลักที่ 2 ซึ่งกล่าวอ้างถึงพ่อขุนรามคำแหง และความเจริญรุ่งเรืองของสุโขทัย


เป็นความทันสมัย ... ที่ต้องทำเพราะความจำเป็น เพื่อให้ชาติตะวันตก ยอมรับว่า สยามประเทศนั้น “ศิวิไลซ์”


และต่อเนื่องมาเรื่อยๆ จนถึงสมัยจอมพลป. พิบูลสงคราม ที่ประวัติศาตร์ชาติไทย ถูกกำหนดอย่างชัดเจนว่า คนไทย อพยพมาจากเทือกเขาอัลไต มีบรรพบุรุษร่วมกับชาวจีน มีความเจริญรุ่งเรืองต่อเนื่องสืบมา


ทั้งหมดทั้งสิ้น คือการสร้างความภาคภูมิใจในความทันสมัย ซึ่งข้อเท็จจริง แตกต่างอย่างสิ้นเชิง


แต่เมื่อความทันสมัย เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจเสียแล้ว ... ค่านิยมที่เกิดขึ้นตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยในสังคมไทย นั่นคือ “เราต้องก้าวตามสมัยให้ทัน”


***


รัฐนิยม เป็นกุศโลบาย ที่จอมพลป. พิบูลสงคราม ใช้เพื่อ “เปลี่ยมโฉม” ประเทศ ให้ทันสมัยขึ้น


ทั้งเรื่องการแต่งตัว (ใส่หมวก ใส่เสื้อเชิร์ต ห้ามนุ่งโจงกระเบน)


อาหารการกิน (ห้ามกินหมาก ใช้ช้อนส้อมในการกิน)


การบันเทิง (จำกัดการเล่นดนตรีไทย ให้หัดเต้นรำตามอย่างสากล)


นี่ก็คือความทันสมัย ... ซึ่งก็เป็นแม่แบบของคนไทยในยุคปัจจุบัน ที่จะหาคนที่นุ่งโจงกระเบนแบบแต่ก่อนได้ยากเต็มที หาคนกินหมากก็แทบไม่มีเหลือแล้ว และทุกๆ คนก็ใช้ช้อนส้อมกินอาหาร


การปฎิรูปการศึกษา สมัยรัชกาลที่ 5 (ค.ศ. 1868-1910) เป็นอีกหนึ่งความพยายาม ที่จะนำประเทศเข้าสู่ความทันสมัย ตามรูปแบบของชาติตะวันตก


“การศึกษาสร้างคน คนสร้างชาติ” คำกล่าวนี้เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน เมื่อคนที่ได้รับการศึกษาในรูปแบใหม่ กลับมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติในเวลาต่อมา


รวมถึงการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ที่เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1932 (พ.ศ. 2475)


***


แต่แล้วเมื่อหันมามองดูสังคมไทยในปัจจุบัน ที่เป็นผลลัพธ์จากความทันสมัย ที่วางรากฐานกันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 มีคำถามที่น่าถามตัวเราเองจริงๆ ว่า แท้ที่จริง เราเปลี่ยนแปลง หรือเราแค่ทันสมัย


ประชาธิปไตยที่เราภูมิใจ ... สุดท้ายแล้ว ก็ตกอยู่ในมือของผู้มีอิทธิพล ... และเราก็ยังเห็นอยู่เรื่อยๆ ว่าระบบอุปถัมภ์ ที่เป็นรากฐานแบบสังคมศักดินา ตั้งแต่สมัยอยุธยา ก็ยังอยู่ในสังคมของเรา ตราบจนทุกวันนี้ ด้วยรูปโฉมที่เปลี่ยนไป แต่แก่นแท้ภายในยังเหมือนเดิม


เมื่อมองดูชาติตะวันตก พวกเขาก้าวออกมาจากสังคมศักดินาอย่างสมบูรณ์แบบ ... เมื่อชนชั้นศักดินาถึงคราวถูกสั่นคลอน ด้วยชนชั้นใหม่ที่เกิดขึ้นในสมัยสมครามครูเสด นั่นคือชนชั้นพ่อค้า


การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ด้วยความคิดที่เปลี่ยนไป และความคิดที่เปลี่ยนไป ก็นำมาซึ่งรูปแบบใหม่ๆ ที่สอดรับกับความคิดที่เปลี่ยนไปนั้น


แต่สังคมไทย ... กลับเลือกที่จะเปลี่ยนแปลง บนพื้นฐานของความทันสมัย


นั่นก็เท่ากับว่า ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจริงๆ


ทำไม การศึกษาไทยถึงยังด้อยคุณภาพ ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเป็นประเทศแรกๆ ในแถบเอเชีย ที่เริ่มต้นปฎิรูปการศึกษา


ทำไม การรถไฟไทย ถึงยังช้าอืดอาดไม่ทันใจเหมือนหลายๆ ชาติในเอเชีย ทั้งที่ประเทศไทยเป็นประเทศแรกๆ ในแถบเอเชีย ที่เริ่มต้นระบบรถไฟ


ความทันสมัยซึ่งเกิดขึ้นมา ไม่ได้ให้ผลยั่งยืนถึงปัจจุบันเลยหรือ


หรือว่าปัญหา จะมาจากความคิดของเรา ... ที่ยังเหมือนเดิม?


***


สุดท้ายแล้ว เป็นเรื่องที่เราต้องยอมรับความจริงว่า คนไทยไม่เคยถูกสอนให้ค้นหาความเป็นตัวเอง


แต่มักจะถูกสอน ให้ทำตามที่สอนมา


“เดินตามผู้ใหญ่ หมาไม่กัด”

“อย่านอกครู”


เป็นเรื่องตลก ที่เราค้นหาความเป็นตัวเองไม่เจอที่โรงเรียน แต่กลับเจอมันใน Facebook


และซ้ำร้าย กว่าจะรู้ว่าตัวเองชอบอะไร เกิดมาเพื่ออะไร อาจจะต้องใช้เวลาถึงอายุ 30 ปี ถึงจะได้รู้จริงๆ


ในสังคมที่ฉาบไปด้วยความทันสมัยอันมากมายเช่นในยุคปัจจุบัน เราเคยสำรวจกันจริงๆ หรือไม่ ว่ายังมีความคิดล้าหลังอะไรมากมาย เป็นอิทธิพลในการดำเนินชีวิตหรือไม่


เส้นสาย ... ยังสำคัญกว่าความสามารถ ... ใช่หรือไม่


อยากซื้อใจคน ... ก็ใช้เงินซื้อเสียง ... ออกนโยบายให้ดูหรูหรา ลดแลกแจกแถมกันไม่อั้น ใช่หรือไม่


ไม่พอใจ ... ก็นินทา ... ต่อหน้าพูดอย่าง ลับหลังพูดอีกอย่าง ใช่หรือไม่


นี่คือความคิดล้าหลัง ที่มันยังคงอยู่ ... ซึ่งก็เป็นแค่ตัวอย่าง ในจำนวนความคิดอีกมากมาย ที่ทำให้ประเทศไทย เป็นได้แค่ประเทศที่ทันสมัย แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง


เราอยากเป็นคนทันสมัย หรือเราอยากเปลี่ยนแปลง ... นี่คือคำถามที่เราต้องถามตัวเราเองอย่างจริงใจ


และมาร่วมหาคำตอบด้วยกันในครั้งต่อไป กับหัวข้อ


“การเปลี่ยนแปลง นำมาซึ่งความร่วมสมัย”

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

ชีวิต กับการสร้างกล้ามเนื้อ

ตอนแรกว่าจะให้ชื่อว่า "ชีวิต กับการเล่น Weight" ... กลัวจะไม่เข้าใจกัน เลยเปลี่ยนชื่อเป็นอย่างที่เห็นนี่ล่ะครับ หวังว่าผู้อ่าน คงจะไม่คิดไปว่าขิงนี่เพาะกายจนตัวหนาไปแล้วนะครับ ... ไม่เอาล่ะ ... มันดูเก้... เกย์ (อี๋) ไปหน่อย 5555


หลังจากที่เริ่มกลับมาเอาจริงเอาจังกับการเล่น Fitness ... โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเล่น Weight ... พบว่าร่างกายตัวเอง Firm ขึ้นแบบเห็นได้ชัด ... ที่สำคัญก็คือ ... เสื้อผ้าเดิมๆ ที่เกือบจะต้องทิ้ง เพราะมันตัวเล็กเกินไป ก็สามารถหยิบกลับมาใส่ได้อีกครั้งหนึ่ง ... อะโหยยย ... แจ่มแจ๋ววว


ในขณะที่เล่นไป ... ก็คิดไปเรื่อยๆ ถึงชีวิตของเรา ... Weight ก็หนักปานนั้น ยังอุตส่าห์จะคิดอีกนะ 555


เรื่องแรกเลยก็คือ ... เล่น Weight แล้วห้ามหยุด ... เพราะถ้าหยุด หรือลดน้ำหนักลง ... เราจะกลับไปอ้วนเผละ แย่กว่าแต่ก่อนเล่นด้วยซ้ำ


ชีวิตในพระคริสต์ ... คงไม่ต่างอะไร ... เมื่อเราเลือกแล้วที่จะเดินมาในทางนี้ ถ้าหยุด ... หรือแม้แต่หย่อนยานลง ... "ไขมัน" มันก็จะมาสะสมในจิตวิญญาณของเรา ... ความกระวนกระวายตามวิสัยโลกเอย นิสัยบาปเดิมๆ ก็จะกลับมาเกาะกินชีวิตของเราไปเรื่อยๆ ตามความหย่อนยานของเรา


จากดินที่ดี ... ก็จะถอยตัวลงเป็นดินที่มีวัชพืช (มธ 4:7, 18-19)... ถอยลงมาแค่นี้ ก็เตรียมตัวโดนวัชพืชแย่งอาหารจนตายได้แล้วล่ะครับ


รู้ซึ้งถึงตัวเองจริงๆ ครับ ... เพราะเคยไม่เล่น Weight จริงจังมาพักหนึ่ง ... แม้ปากจะบอกว่าออกกำลังกาย ... แต่ร่างกายมันไม่ดีตามที่ปากดีไว้น่ะสิครับ ... ยิ่งเป็นคนที่ไขมันสะสมง่าย ... แต่ดันออกกำลังกายไม่จริงจัง ... มันก็ทำให้อ้วนไปพักใหญ่เลยทีเดียว


ขอบคุณพระเจ้า ที่พอกลับมาจริงจังอีกครั้ง ... มันก็เห็นผลลัพธ์ที่ดี่ขึ้น ... แม้จะยังไม่สุดยอด ... แต่เราก็รู้สึกถึงตัวเราเองได้ล่ะครับ ว่าเรากำลังอยู่บนทางไปสู่ความสำเร็จ


ใครเคยตัดสินใจเป็นผู้รับใช้พระคริสต์แล้ว ... อยากบอกว่า ท่านหยุดไม่ได้จริงๆ นะ ... มันมีผลกระทบอย่างรุนแรง ต่อจิตวิญญาณของท่านจริงๆ ... ถ้าท่านไม่รับใช้พระคริสต์ ท่านก็รับใช้สิ่งอื่น ... หรือผู้อื่น ... ที่ไม่ใช่พระคริสต์ ... สิ่งเหล่านั้น ก็เหมือนไขมัน มันจะเข้ามาเกาะกินชีวิตของท่าน ... ทีละเล็ก ทีละน้อย ... จนท่านอ้วน ... ขาดความคล่องแคล่ว ...


มันแตกต่างกันจริงๆ นะครับ สำหรับ "คนออกกำลังกาย" กับ "คนเคยออกกำลังกาย"


***


เรื่องที่สอง ... เล่น Weight ... ความท้าทายจริงๆ อยู่ที่ "น้ำหนัก" ที่ต้องเพิ่มมากขึ้น


แน่นอนว่าผมยังไม่สามารถไปเล่น Weight แบบ Free Weight ได้ (ฝีมือยังไม่ถึง) ... แต่แค่การเล่นกับเครื่องเล่น (Machine) ความท้าทายก็มีมากไม่ใช่น้อย


ที่มันท้าทาย ... เพราะว่ามันต้องออกแรงต้าน (Resistance) น้ำหนักเยอะขึ้นน่ะสิครับ


ความท้าทายของชีวิต ... บางทีอาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ ... แต่เป็นเรื่องเดิมๆ ที่มีความหนักหน่วงมากขึ้น


ผมเล่น Piano มากี่ปีก็จำไม่ได้แล้ว ... แต่วันนี้ก็ยังรู้สึกว่า มีบางอย่างที่เราต้องพัฒนา เพื่อนำไปสู่จุดของการ "ใช้การได้" มากกว่านี้ ... และเพื่อการ "ใช้การได้" มากกว่านี้ ... มันก็ไม่มีทางเลี่ยง นอกจากฝึกซ้ำ สิ่งที่ตัวเองเคยฝึกมาแล้ว ให้ควบคุมมันได้อยู่มือมากขึ้น


ความสนุกของการเล่น Weight จริงๆ ไม่ได้อยู่ที่เราไปเล่นเครื่องมือต่างๆ ให้ได้มากที่สุด ในหนึ่งรอบการเล่น แต่มันอยู่ที่เราจะเอาชนะน้ำหนัก ที่มากขึ้นได้หรือเปล่า กับเครื่องมือเดิมๆ ที่เราเจออยู่ประจำ ...


ชีวิตในหนึ่งวัน ... อาจจะไม่ได้เจอสิ่งใหม่มากมาย แต่สิ่งเดิมๆ ที่เจออยู่ ... มันหนักขึ้น ... เราพร้อมหรือไม่ ที่จะออกแรงต้านไปกับมัน


ไม่มีอะไรใหม่ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ (ปญจ.1:9) ... แทนที่จะไขว่คว้า หาความหวือหวาแต่เปลือกนอก ... กลับมาพิสูจน์ชีวิตจริง ... ซึ่งมีแก่นแท้จากภายในเสียจะดีกว่า ... แล้วเมื่อเราผ่านมันไปได้ ... ความหวือหวา รูปแบบภายนอก ... ก็จะเป็นสิ่งที่เราปรับเข้าหามันได้ อย่างชาญฉลาด


***


เรื่องสุดท้าย ... เล่น Weight ยังไงก็เจ็บครับ (55555)


อันนี้เรื่องจริง แบบไม่ต้องเอาใครที่ไหนไกลๆ มาเป็นพยานยืนยันหรอกครับ ผมเองนี่แหละ ที่กล้าพูดเลยว่า "เล่นจริง ... เจ็บจริง"


Stretching หลังการเล่น จึงจำเป็นมาก เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด ไม่ให้มากจนเป็นอันตรายต่อกล้ามเนื้อ ... แต่ไอ้ครั้นจะเล่นให้ไม่เจ็บ ... มันก็เท่ากับว่าไม่ได้เล่นเลยเสียด้วยซ้ำ


ชีวิต ... มันก็ต้องเจ็บ ... เป็นธรรมดาครับ ... ถ้าอยู่บนหนทางของการฝึกตนเอง


เพราะถึงวันนี้คุณเลือกที่จะไม่เจ็บ ... ไม่ออกกำลังกาย ... กินๆ นอนๆ ... วันหนึ่งคุณก็ต้องเจ็บ เพราะโรคภัยมันถามหา ... และจะเจ็บหนัก ... กว่าคนที่ออกกำลังกายเสียอีกครับ


ชีวิตที่ฝึกตนเอง เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเจ็บ ... แต่แน่นอน ... ว่าในขณะที่เจ็บ เราก็เรียนรู้ที่จะบรรเทาความเจ็บปวดด้วยตัวของเราเองได้ ... และยิ่งเมื่อเรามีพระเยซู ผู้ทรงเข้าใจในความเจ็บปวดของเรา พระองค์ก็จะทรงช่วยเราได้ในความเจ็บปวด ที่เกิดขึ้นทุกๆ วัน


พระองค์ ... ผู้ทรงมีรอยแผลติดตัวไปตลอดนิรันดร์ (หลักฐานคือรอยตะปู) ... เป็นพระเจ้าผู้ผ่านความเจ็บปวด ... ชนะความเจ็บปวด ... และเปลี่ยนความเจ็บปวด ให้เป็นศักดิ์ศรีที่ติดตัว ไปชั่วนิรันดร์


ดังนั้นความเจ็บปวดที่เราพบเจอวันนี้ ... คือศักดิ์ศรีที่จะมีในอนาคต ... ก็ไม่ใช่เรื่อง ที่เราจะต้องหลบ ... หรือทำให้ทุกๆ อย่างในชีวิต มันดูเจ็บปวดน้อยลง ... แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องกล้ำกลืนฝืนทน โดยลืมไปว่าพระเจ้า กำลังรักษาบาดแผลเราอยู่ ... อาจต้องใช้เวลา แต่ก็จะมีวันที่หายดี


เพราะภายหลังเจ็บปวด ... คือเวลาแห่งการเป็นพยาน ถึงความยิ่งใหญ่ของพระเยซู ในชีวิตของเรา


กล้าที่จะออกกำลังกายกันมากขึ้น เพื่อพระเยซูของเราหรือยังครับ 555






วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

ชีวิตมหัศจรรย์ ของ เรอัล กับ ลูมิ ตอนที่ 5

เช้าวันต่อมา ที่ริมน้ำ ถิ่นสงบ


เอ๊ะ ... ทำไมดูสงบกว่าทุกวันน้า ...


....


เงียบไปหน่อยรึเปล่าเนี่ย


....


ลูมิ พยายามลืมตาตื่นด้วยความงัวเงีย เนื่องจากเมื่อคืน เธอกับเรอัล
เห็นฝนดาวตกชุดใหญ่ ผ่านมา


(มาย้อนเรื่องของเมื่อคืนหน่อยดีกว่า)


"นี่ๆๆๆๆ ลูมิ เธอดูสิ มาชุดใหญ่เลย" เรอัล พยายามปลุกลูมิ ที่ง่วงแล้ว
ง่วงอีกเสียให้ได้ เพราะกว่าฝนดาวตกจะมา ก็ดึกมากอยู่


"หาวววว ... ไหนๆๆ" ลูมิพยายามลืมตาดู


"ไปหมดแล้ว เหอะๆๆๆ" เรอัลตอบ


"โห ... อะไรอ่ะ ... ทำไมไม่รีบปลุกชั้นล่ะ ... " ลูมิออกอาการงอนอย่างแรง


"ก็พยายามปลุกแล้วไง ... แต่เธอง่วงมากน่ะ" เรอัลแก้ตัว


"หึ! ... เป็ดงอนหมีแล้ว ... หึ ..."


โวยวายได้อยู่พักเดียว ลูมิก็หลับไป เพราะธรรมชาติของเป็ด หลับไว หุๆๆๆ


กลับมาตอนเช้านี้


ลูมิลุกขึ้น เดินไปแถวๆ ริมน้ำ คิดไป ... สงสัยในใจว่า ทำไมมันเงียบ
ผิดปกติ


"เอ ... ปกติมันต้องมีเสียงนี่" ลูมิพึมพัม


"แต่นี่ไม่มีเสียง อะไรหายไปนะ"


"เป็ด!"


ลูมินึกขึ้นมาได้


"ฝูงของฉันหายไปไหน ... !"


ลูมิวิ่งดูรอบๆ บริเวณริมน้ำ แต่ก็พบแต่ความว่างเปล่า


"ไม่จริง!!!!!!!"


***


"เพื่อนๆ เธอหายตัวกันไปหมดเลยเหรอ" เรอัลถามลูมิ


"ฮือๆๆๆๆ พวกเค้าทิ้งชั้น พวกเค้าทิ้งชั้น" ลูมิร้องไห้ แบบไม่ต้องบรรยายแล้ว
ว่าหนักขนาดไหน


"อืม ..." เรอัล ก็ไร้คำพูด ที่จะปลอบใจลูมิ ในเวลาแบบนี้


"ฮือๆๆๆๆๆ" ลูมิก็ยิ่งร้องไห้หนัก ... หนักขึ้น


-_-" -_-" -_-"


"ลูมิ .... ฉันรู้แล้วว่าจะช่วยเธอยังไง" เรอัล อยู่ดีๆ ... ก็นึกอะไรขึ้นมาได้


"ไม่เป็นไรหรอก ... ฮือๆๆๆ ... ชั้นรู้ว่าเธอหวังดี อยากให้ชั้นหยุดร้องไห้
ขอให้ชั้นร้องไปเรื่อยๆ ก่อนนะ เดี๋ยวมันก็หยุดเองล่ะ ... ฮือๆๆๆ" ลูมิตอบเรอัล


"ช่วยได้จริงๆ ไม่ได้โม้นะ" เรอัลยืนยัน


"คืออย่างงี้ ... พ่อฉันน่ะ เคยบอกว่า ที่ภูเขาใหญ่ ทางทิศเหนือ
เป็นที่อยู่ของท่านผู้ดูแลผืนภิภพนี้"


"พ่อบอกว่า วันหนึ่ง ถ้ามีปัญหาอะไร ที่เกินกำลังจะแก้ไขได้
ให้ไปหาท่าน ที่ภูเขา"


"มันอาจจะอยู่ไกลหน่อยนะ แต่ฉันจะลองไปหาท่าน เพื่อให้ท่าน
ช่วยเรื่องของเธอ"


"เธอจะไปตามลำพังเหรอ" ลูมิถาม


"รอฉันอยู่ที่นี่ ... ที่นี่ปลอดภัย อาจจะเหงาซักหน่อย
แต่ฉันจะรีบกลับมา ฉันสัญญา" เรอัลสัญญากับลูมิ


"ให้ชั้นไปด้วย" ลูมิพูดขึ้นมา


"มันไกลนะ ... แถมไม่รู้ว่าจะมีอันตรายอะไรมากหรือเปล่า ลูมิ ...
เธอเชื่อฉันนะ ฉันอยู่ที่นี่ลำพังมานาน ไม่เคยมีอันตรายอะไรเลย
มันเป็นที่ๆ เธออยู่ได้อย่างปลอดภัยแน่ๆ ที่เหลือ ให้ฉันจัดการเองเถอะนะ"


"ไม่ๆๆๆๆๆ เรอัล ... ชั้นไม่อยากให้เธอต้องเสี่ยงอันตราย
โดยที่ชั้นกลับอยู่เฉยๆ แบบนี้" ลูมิปฎิเสธเสียงแข็ง


"และที่สำคัญ ... ฉันทนไม่ได้หรอก ถ้าไม่มีเธออยู่ด้วย"


"อืม .... ลูมิ เธอ ..."


และแล้ว ลูมิก็ทำสิ่งที่เรอัลไม่คาดฝัน


เธอหอมแก้มเรอัล แบบที่เป็ดตัวหนึ่งจะหอมแก้มหมีได้


"ให้ชั้นไปกับเธอนะ ... เรอัล ... ที่ชั้นรัก"


"ลูมิ ..." เรอัลอึ้ง ... กับความรักของลูมิ ที่พร้อมจะเผชิญปัญหา
ร่วมกับเขา


"อ่ะ .... ไปก็ไป เราไปด้วยกัน"


ติดตามตอนต่อไปนะคร้าบบบบ

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ชีวิตมหัศจรรย์ ของ เรอัล กับ ลูมิ ตอนที่ 4

"เรามีเรื่องต้องคุยกับเธอนะ ลูมิ" เพื่อนๆ เป็ดทั้งหลาย
หาโอกาสเหมาะในการมาคุยกับลูมิ


"เธอเปลี่ยนไป ตั้งแต่เมื่อเธอไปสนิทกับเจ้าโคอาล่านั่น"


"ชั้นเปลี่ยนไปยังไงเหรอ ชั้นก็ยังเป็นเป็ดเหมือนเดิมนี่" ลูมิตอบ


"เธอตื่นสายขึ้น"


"เธอมัวแต่ไปดูดาวตอนกลางคืน"


"แต่ ... นี่ ... ดาวตอนกลางคืนสวยออก ทำไมพวกเธอ
ไม่คิดจะมาดูกันกับเราบ้างล่ะ" ลูมิชักชวน


"เธอพูดว่า 'กับเรา' งั้นเหรอ" เป็ดตัวหนึ่งในฝูงเอ่ยขึ้นมา
ด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ


"ใช่สิ ....... เธอคบกับโคอาล่า จนลืมไปแล้วว่า
เป็ดอย่างเรา เป็นเพื่อนเธอ"


"ไม่ใช่นะ ... ชั้นก็แค่อยากจะบอกว่าดาวกลางคืนมันสวยดี"
ลูมิพยายามอธิบาย


"เราเป็นห่วงเธอนะ ลูมิ"


"โคอาล่าขี้เกียจอย่างนั้น ทำให้ชีวิตเธอแย่ลง"


"มันทำให้เธอไม่เหลือความเป็นเป็ด อย่างที่พวกเรา
เคยภูมิใจในตัวเธอ"


"อย่าลืมสิ ว่าท่านหัวหน้าฝูงของเรา เคยยกย่องเธอ
ว่าเป็นเป็ดแบบอย่างชั้นเลิศ"


"แต่วันนี้ เธอกำลังเสียความเป็นเป็ดแบบอย่าง
เพราะไอ้เจ้าโคอาล่านั่น"


"เรอัลเค้าไม่ดียังไงเหรอ ทำไมพวกเธอเอาแต่ว่าเค้า"
ลูมิเริ่มร้องไห้


"ใช่ ... เค้าเคยขี้เกียจมากๆ แต่วันนี้เค้าก็ดีขึ้นกว่าเดิมแล้วนะ"


"เค้ามีชีวิตที่น่าสงสารจะตาย ที่ต้องเหงาอย่างนั้น
เพราะเชื่อฟัง ในสิ่งที่พ่อของเค้าสั่งไว้
ว่าให้รอสิ่งดี อยู่ที่นี่"


"เค้าอาจจะดูทึ่มๆ งี่เง่า อย่างที่พวกเธอพูด แต่รู้มั๊ย
เค้ารู้หมดเลยนะ ว่าเมื่อไหร่ดาวดวงไหนขึ้น
แล้วมันจะมีผล ต่อเรื่องน้ำขึ้น น้ำลง"


"ดูเหมือนเค้าจะไม่กินอะไร นอกจากยูคาลิปตัส ซึ่งฉันก็ไม่เคยกิน
มาก่อน แต่พอลองกินอย่างเค้ากิน
ชั้นก็เพิ่งรู้ว่า มันเป็นยาระบายชั้นดีเลย"


"ดูเหมือนเธอจะปกป้องโคอาล่านั่นมากเลยนะ"
เป็ดอีกตัวพูดแทรกขึ้นมา


"ยังไง เป็ดก็คือเป็ด"


"เธอไม่เลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างเป็ด
สักวันเธอจะเสียใจ"


"เราพูดกับเธอไม่รู้เรื่องแล้ว ลูมิ
กลับไปคิดเองเถอะนะ"


เหตุการณ์วันนี้ทำให้ลูมิเสียใจมาก


และแน่นอน จะมีใครที่รับฟังลูมิได้ดีกว่าเรอัล ในเวลานี้


"ใจเย็นๆ ลูมิ เพื่อนๆ เธอคงห่วงเธอจริงๆแหละ"
เรอัลพยายามปลอบใจลูมิ


"หึ! ห่วงเหรอ ... ห่วงแล้วทำไมต้องว่าเธอ
อย่างไม่เป็นธรรมด้วยล่ะ" ลูมิสะอึกสะอื้น


"เป็ดอย่างพวกเรา มักจะทนเห็นอะไรแปลกๆ ไม่เป็นไปตาม
สิ่งที่ถูกสอนกันมาไม่ค่อยได้หรอก"


"ชั้นเอง ก็เคยเป็นอย่างนั้น"


"แต่วันหนึ่ง ชั้นเคยพลัดหลงกับฝูง แล้วไปขึ้น
ฝั่งที่หนึ่ง"


"ชั้นพบกับครอบครัวหมูครอบครัวหนึ่ง"


"พวกเค้าใจดีกับฉันมาก ที่คอยดูแล
ทำแผลให้ หาอาหารให้กิน"


"แต่น่าเสียดายที่พอฝูงตามหาฉันเจอ แทนที่
จะขอบคุณครอบครัวหมูนั้น กลับแสดงอาการรังเกียจใส่พวกเค้า"


"ชั้นเสียใจมาก ที่เป็ดอย่างพวกเรา มีความคิด
คับแคบอย่างนี้" ลูมิยิ่งร้องไห้หนักขึ้น


"ชั้นขอโทษเธอนะเรอัล แทนเพื่อนๆ ชั้น ที่ดูถูกเธอ"


"ที่เพื่อนๆ เธอดูฉันเป็นอย่างนั้น ก็ดูถูกแล้วล่ะ"
เรอัลตอบ


"เธอรับได้เหรอ เธอยอมถูกดูถูกได้ยังไง" ลูมิถาม


"เอ้า ... ก็เพื่อนๆ เธอไม่ได้ดูผิดสักหน่อย
ก็ฉันมันเป็นโคอาล่าขี้เกียจๆ อย่างที่
เพื่อนๆ เธอบอกจริงๆ นี่"


"เล่นมุขใช่มั๊ย" ลูมิถาม (เคืองเล็กน้อย -_-" อุๆๆ)


"น่า ... อารมณ์ดีขึ้นหน่อยน่า ... นะๆๆๆๆ" เรอัลพยายามหยอก
ลูมิ ให้อารมณ์ดีขึ้น


ลูมิแอบขำในใจ "ดีจัง ... หมีเล่นมุขเป็นด้วย ฮิๆๆๆ"


แต่เมื่อกลับไปดูทางฝั่งเพื่อนลูมิ
เหตุการณ์ชักไม่ค่อยจะดี


"เราจะทำยังไงดีกับยัยลูมิ"


"นั่นสิ"


"นี่" เป็ดท่าทางฉลาดตัวหนึ่งพูดขึ้นมา


"ที่เราต้องหลงทางกับฝูงใหญ่ ก็ไม่ใช่เพราะ
ยัยลูมิหรอกหรือ"


"ตั้งแต่วันที่พวกเราเอาตัวลูมิออกมาจาก
ครอบครัวหมูสกปรกนั่นน่ะ ยัยลูมิ
ก็เริ่มคิดแตกแถวกับพวกเรามากขึ้นเรื่อยๆ จริงหรือเปล่า"


"แล้วดูสิ คราวนี้ก็ ... เห็นกันชัดๆ ว่าแตกแถวอีกแล้ว"


"เดือดร้อนตัวเดียวไม่พอ พาพวกเราเดือดร้อนอีก"


"แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ" เป็ดขี้อายตัวหนึ่ง ค่อยๆ แทรกขึ้นมา


"ง่ายๆ" เป็ดตัวเดิมตอบ


"ให้ตัวที่แตกแถว ... แตกแถวไปตัวเดียว"


ติดตามตอนต่อไปคร้าบบบ