วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เสียหมู

เปลี่ยนบรรยากาศกันบ้าง กับนิทานสนุกๆ ครับ

*******

อู๊ดอู๊ดกับอู๊ดอี๊ดเป็นหมูเพื่อนรักกัน ทั้งคู่เกิดและโตมาด้วยกันที่ฟาร์มของลุงสน ลุงสนรักพวกมันสองตัวมาก


ตั้งแต่เกิดมาลุงสนเลี้ยงดูพวกมันเป็นอย่างดี หวังว่าจะให้พวกมันสองตัวเป็นหมูพ่อพันธุ์รุ่นต่อไปให้กับฟาร์มของลุง


จึงไม่แปลกเลยถ้าพวกมันจะได้กินจุ จนตัวใหญ่มากขึ้นทุกปีๆ



แต่อยู่มาปีหนึ่ง ความแห้งแล้งอย่างรุนแรงเข้ามาเยือนแผ่นดินในฤดูร้อน


เท่านั้นยังไม่พอ พอถึงหน้าฝน ฝนก็ตกมาก ... มากจนเกินไป ...มากจนน้ำท่วม


แน่นอนว่าฟาร์มลุงสนได้รับผลจากความแห้งแล้งและน้ำท่วมนี้เต็มๆ


รายได้จากการขายพืชผักและสัตว์ต่างๆลดลง


จนจะไม่พอกับค่าอาหารของอู๊ดอู๊ดกับอู๊ดอี๊ดที่นับวันจะเพิ่มขึ้นทุกวัน


“เฮ้อ ...” ลุงสนถอนหายใจ “ข้าเลี้ยงพวกเจ้าท่าจะไม่ไหวจริงๆนะ อู๊ดอู๊ดอู๊ดอี๊ด
ค่าอาหารก็แพง สงสัยต้องปล่อยพวกเจ้าให้กับพวกโรงฆ่าสัตว์ซะละมั๊ง อย่าโกรธข้าเลยนะพวกเจ้าสอง”
ลุงสนพูดกับอู๊ดอู๊ดอู๊ดอี๊ด


“ลุงสนพูดอะไรอ่ะ ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย” อู๊ดอู๊ดถามอู๊ดอี๊ด


“จะไปรู้เรื่องได้ไง ลุงเค้าพูดภาษาคนนี่” อู๊ดอี๊ดตอบ


“ข้ารู้เรื่อง ข้ารู้เรื่อง!” อู๊ดอู๊ดกับอู๊ดอี๊ดหันไปมอง
ปรากฏว่าเป็นนกตัวหนึ่งที่เกาะอยู่บนต้นไม้
มันได้ยินทุกอย่างที่ลุงสนพูดกับอู๊ดอู๊ดและอู๊ดอี๊ด


“ผู้ชายคนนี้เค้าบอกว่า จะขายพวกนายสองตัวให้โรงฆ่าสัตว์ เพราะเลี้ยงไม่ไหวแล้ว”


“ไม่จริง!” อู๊ดอู๊ดตะโกนออกมา “ลุงสนเค้ารักเราขนาดนี้ จะทำอย่างที่เจ้าว่าได้ไง”


“แต่ข้าได้ยินอย่างนี้จริงๆนะ .....” นกตอบ
“ไม่ผิดแน่ๆ เชื่อข้าสิ ข้าเป็นนกแก้วนะ ภาษาคนน่ะข้าคุ้นเคย คนเค้าพูดกับข้าทุกวัน”


“ไม่จริง .....!” ทั้งอู๊ดอู๊ดอู๊ดอี๊ดร้องเสียงหลงด้วยกันทั้งคู่



แต่โชคก็เข้าข้างอู๊ดอู๊ดอู๊ดอี๊ดอยู่บ้าง ปีนี้มีการประกวดสัตว์
และลุงสนก็คิดว่าน่าจะส่งพวกมันทั้งคู่เข้าประกวด


“ถ้าพวกเจ้าชนะได้เงินรางวัลมา ข้าก็คงเลี้ยงพวกเจ้าต่อได้” ลุงสนพูดเปรยๆ อยู่ข้างตัวอู๊ดอู๊ดกับอู๊ดอี๊ด
ในขณะที่ให้อาหารพวกมัน “แต่ถ้าตัวไหนไม่ได้รางวัลเลยนี่ ข้าต้องปล่อยเจ้าไปจริงๆนะ”



“นี่ๆ คุณนกแก้ว ช่วยบอกพวกเราหน่อยสิ ที่ลุงสนพูดกับเราเมื่อเช้าน่ะ”
อู๊ดอู๊ดและอู๊ดอี๊ดมารบเร้าถามเจ้านกแก้วตัวเดิม


“เค้าบอกว่าจะให้เจ้าสองตัวเข้าประกวดสัตว์ ใครได้รางวัลเค้าจะเลี้ยงต่อ แควกๆ” นกแก้วตอบ


“เราต้องทำตัวยังไงดีน่ะอู๊ดอู๊ด จะได้ชนะการประกวดนี้” อู๊ดอี๊ดถามอู๊ดอู๊ด


“ไม่รู้อ่ะ คุณนกแก้วแนะนำเราหน่อยสิ” อู๊ดอู๊ดขอคำปรึกษาจากนกแก้ว ที่ดูท่าทางจะรู้ไปซะทุกเรื่อง


“ได้เลย ... แควกๆ การประกวดนี้ข้าเคยเข้าประกวด ข้าได้ที่สอง
เค้าจะคัดเลือกสัตว์ที่ดูดีที่สุดให้เป็นผู้ชนะในแต่ละประเภท
อย่างหมูเนี่ยข้าเคยเห็นผู้ชนะเลิศ รูปร่างดีเลยล่ะ แควกๆ”


“งั้นเราต้องทำให้รูปร่างเราดี” อู๊ดอู๊ดบอก


“ทำไงล่ะ เราทั้งคู่อ้วนจะแย่แล้ว” อู๊ดอี๊ดแย้งขึ้นมา


“ก็ ...... ออกกำลังกาย .... งดอาหารด้วย” อู๊ดอู๊ดเสนอ “เริ่มกันได้แล้วด้วย ก่อนที่จะสายไป”



อู๊ดอู๊ดอู๊ดอี๊ดเริ่มวิ่งออกกำลังกายกันเอาเป็นเอาตาย
ได้ผล!รูปร่างทั้งคู่เริ่มดีขึ้นมาบ้าง แต่อู๊ดอู๊ดดูจะมีความพยายามกว่าอู๊ดอี๊ด
เพราะถึงขนาดไม่ยอมกินอาหาร ในขณะที่อู๊ดอี๊ดกินหมดไม่เหลือเหมือนเดิม


“ก็มันหิวนี่” อู๊ดอี๊ดบอก “ฉันไม่ได้เก่งเหมือนนาย วิ่งก็เร็ว แถมอดอาหารได้อีก”


“นี่นายอยากโดนเอาไปเชือดเหรอ” อู๊ดอู๊ดต่อว่า “อยากชนะก็ต้องพยายามกว่านี้”


“ไม่เอาสิ อย่าแช่งฉันอย่างนี้ ฉันก็ไม่อยากโดนเชือดนะ ก็แค่มันหิวอ่ะ” อู๊ดอี๊ดร้องโอดครวญ


“ไม่รู้แล้ว ถ้านายไม่หยุดกิน ฉันก็ไม่รู้จะช่วยอะไรนาย ไปวิ่งต่อละกัน” อู๊ดอู๊ดพูดด้วยความหงุดหงิด


“เฮ้ รอฉันด้วย”



วันประกวดมาถึง อู๊ดอู๊ดอู๊ดอี๊ดถูกส่งเข้าประกวด รูปร่างของทั้งคู่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน
แต่อู๊ดอู๊ดดูจะผอมไปกว่าเดิมมาก ในขณะที่อู๊ดอี๊ดยังดูจ้ำม่ำอยู่


“ฉันบอกนายแล้วว่าไม่ให้กินเยอะ นายก็ไม่เชื่อ คอยดู ตกรอบแรกด้วยก็ไม่รู้”
อู๊ดอู๊ด นอกจากจะไม่ให้กำลังใจเพื่อนแล้ว ยังขู่เพื่อนซะอย่างงั้น


“ฮือๆ ช่วยฉันด้วยสิอู๊ดอู๊ด” อู๊ดอี๊ดร้องไห้ สีหน้าวิตกอย่างรุนแรง


เมื่อกรรมการมาตรวจดูหมูทั้งหมด ก็เริ่มครุ่นคิดกันว่าจะให้ตัวไหนเข้ารอบ
ปีนี้มีคนส่งหมูประกวด 5 ตัว ซึ่งก็แน่นอนว่าจะคัดเหลือแค่ 3 ตัวเพื่อให้ได้ที่ 1 ที่ 2 และที่3


กรรมการคนหนึ่งดูอู๊ดอู๊ดกับอู๊ดอี๊ด ท่าทางจะกรรมการจะคิดหนัก
เพราะหมูสองตัวนี้รูปร่างดีทีเดียว


แล้วสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจจูงอู๊ดอี๊ดออกมา และให้อู๊ดอี๊ดได้ที่ 1 มีหมูตัวอื่นได้ที่ 2 และ ที่ 3


แต่ไม่มีอู๊ดอู๊ดอยู่ในนั้น


“ไม่จริง!!!!!!!!!!!!!!!!!” อู๊ดอู๊ดร้องเสียงหลง



อู๊ดอู๊ดนอนซึมอยู่ในรถขนสัตว์ รู้ว่าตัวเองคงไม่รอดแหงๆ


คุณนกแก้วตัวเดิมบินมาอยู่แถวๆลูกกรงเหล็ก “เสียใจด้วยนะ” คุณนกแก้วบอกกับอู๊ดอู๊ด


“คุณนกแก้วได้ยินกรรมการเค้าพูดกันหรือเปล่า ทำไมผมแพ้ล่ะ
ผมรูปร่างดีกว่าหมูตัวอื่นเป็นไหนๆ” อู๊ดอู๊ดคร่ำครวญ


“แควกๆ ได้ยินๆ ...” คุณนกแก้วบอก “ข้าได้ยินกรรมการสองคนคุยกัน”


“เค้าบอกว่า หมูสองตัวนี้ดูดี แต่ตัวนึงมันผอมมากไป มันดูยังกะไม่ใช่หมู
อีกคนก็บอกว่า ใช่ๆๆ ตัวที่คุณว่าน่ะแหละ มันดูเสียหมูไปแล้ว แควกๆ”


“เค้ายังบอกกับลุงสนด้วยนะว่า ทีหลังอย่าให้หมูของคุณออกกำลังกายมากเกินไป
มันจะทำให้หมูผอม ดูไม่เป็นหมู”


“อากซ์ซซซซซซซซซซซซซซซซซ .....”
(คงไม่ต้องบอกแล้วมั๊งว่าเสียงใคร)


- จบแร๊ว อิอิ-

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เอลพิส กับบทเพลงแห่งพระพร ตอนที่ 5


อาจารย์เจย์และเอลพิส ได้เดินทางมาถึงเมืองแห่งหนึ่ง

เมืองแห่งนี้ แค่ได้พบเห็นวินาทีแรก ก็รู้สึกได้ถึงความสุข

และเมื่อได้เห็นใบหน้าผู้คนในเมือง ก็รู้สึกได้ถึงความสุขของพวกเขา
ที่เกินกว่าคำบรรยาย

***

เอลพิส และอาจารย์เจย์ ได้มาถึงลานกว้างแห่งหนึ่ง ใจกลางเมือง

ทันใดนั้น ก็มีคนเป็นอันมาก ต่างถือแตรของตนเอง
เดินมารวมตัวกันที่ลานแห่งนั้น

ใบหน้าทุกคนมีความสุข

ใบหน้าทุกคนมีความหวัง

และที่น่าทึ่ง คือพวกเขาทุกคนต่างมีมิตรภาพให้แก่กันอย่างโอบอ้อมอารี

ผู้อาวุโสคนหนึ่ง ยืนขึ้นบนเวทีเล็กๆ ใจกลางลานนั้น กล่าวว่า

"ขอบคุณพี่น้องทุกท่าน ที่มารวมตัวกันในวันนี้"

"เป็นเวลาดีจริงๆ ที่เราทุกคนในวันนี้ จะร่วมกันบรรเลงบทเพลงแห่งพระพร"

เอลพิสทั้งตื่นเต้นและประหลาดใจ
นี่พวกเขาจะบรรเลงบทเพลงแห่งพระพรจริงหรือ

"และเราจะได้เห็นฝนแห่งสวรรค์พร้อมกัน ในวันนี้"

"ฝนแห่งสวรรค์เหรอ?" เอลพิสคิดในใจ

"ข้าเฝ้ารอจะเห็นสิ่งนี้มานาน ก็ยังไม่เคยพบเห็น
แต่คนพวกนี้มั่นใจมากขนาดนี้เลยหรือว่าจะได้เห็นฝนแห่งสวรรค์"

และแล้วทุกคน ก็ได้บรรเลงบทเพลงจากแตรของพวกเขาพร้อมกัน

***

"ช่างไพเราะอะไรเช่นนั้น"

"ไพเราะเสียยิ่งกว่าบทเพลงแห่งเอลพิสเสียอีก"

ตื่นตะลึง และก็ตื่นตะลึง

เอลพิสได้แต่ยืนฟังคนเหล่านั้นบรรเลงบทเพลงที่ไพเราะสุดจะหาคำบรรยาย

และก็หันไปดูที่ท้องฟ้า

เมฆก็เริ่มแหวกออก และแสงสว่างจากฟ้าก็สาดส่องลงมายังคนกลุ่มนี้ที่กำลังเป่าแตร

ทันใดนั้น ฝนก็โปรยออกมาจากแสงสว่างนั้นอย่างน่าอัศจรรย์

ทุกคนที่อยู่ในลานเมือง ต่างโห่ร้องดีใจ
ที่ฝนแห่งสวรรค์ปรากฎขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขา

ฝนนี้ไม่ทำให้พวกเขาเปียกปอน แต่ทำให้เกิดความชุ่มชื่น

และที่สำคัญ เมื่อฝนแห่งสวรรค์ตกลงมาสู่คนเหล่านี้

พวกเขาก็มีแสงจับทั่วร่างกายของเขาทันที

แสงจากคนเหล่านั้นสว่างมาก สว่างเสียจนเอลพิสทานทนกับแสงนั้นไม่ไหว
ต้องหลบซ่อนตัวในพุ่มไม้แถวนั้นทันที

***

แต่แสงที่สว่างนั้นก็ยังตามมาถึงพุ่มไม้ จนเอลพิสทนไม่ได้
ร้องขอความช่วยเหลือ

"หยุดส่องแสงเถิด ตาของข้าจะบอดอยู่แล้ว"

"นี่เราเอง"

เอลพิสหันไปมองข้างหลัง อาจารย์เจย์อยู่ที่นั่น

"ท่านอาจารย์!"

"ท่านก็อยู่ท่ามกลางฝนแห่งสวรรค์นั่นด้วยหรือ"

"แสงของท่านสว่างมาก ... ข้า ... ข้า ... ทนไม่ได้"

"ปิดตาของท่านเสียก่อนในเวลานี้ และฟังคำของเราให้ดี"

เอลพิสหลับตาลง และตั้งใจฟังอาจารย์เจย์

"เรารู้ถึงความตั้งใจที่ดีของท่าน"

"เรารู้ถึงการกระทำของท่านที่ผ่านมา"

"ท่านอยากให้เมืองของท่านมีความสุข"

"และท่านก็ได้ให้ความสุขแก่เมืองของท่านมานาน
ด้วยบทเพลงแห่งเอลพิสของท่าน"

"แต่เรามีข้อตำหนิท่าน"

"ท่านมิได้ดำเนินตามสิ่งที่เราเคยสั่งสอนท่านอย่างแท้จริง"

"ท่านอาจารย์ ข้าทำอะไรผิดหรือ?" เอลพิสถาม

"ท่านไม่ได้ให้ศิษย์ของท่าน คิดค้นบทเพลงของตนเอง"

เอลพิสรู้สึกจุกขึ้นมาในใจ มันเป็นเรื่องจริง

"ท่านรู้ ... ได้อย่างไร?"

"เออ ... คือข้า ...."

"เหตุผลของท่าน คือต้องการรีบใช้คนเหล่านั้น
ทำตามสิ่งที่ท่านมีเป้าหมายในใจไม่ใช่หรือ"
อาจารย์เจย์กล่าว

"จริงครับ ท่านอาจารย์ แต่มันก็เป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรือ
ที่ทุกคนจะได้ทำสิ่งที่เหมือนกัน" เอลพิสพยายามพูดแก้ตัว

"ท่านเข้าใจผิดแล้ว" อาจารย์เจย์กล่าว

"ท่านคิดว่าบทเพลงแห่งพระพรจะเกิดขึ้น
เมื่อทุกๆ คนทำสิ่งที่เหมือนกันหรือ"

"เปิดตาของท่านออก จงดูให้เห็นเต็มตาอีกครั้ง"

เอลพิสเปิดตาออก เขาพบว่าตัวเองกลับมายืนอยู่ที่กลางลาน
พร้อมกับนักเป่าแตรจำนวนมากที่กำลังเป่าแตรอยู่

สิ่งที่เอลพิสได้ยิน เอลพิสแทบไม่เชื่อหูตัวเอง

นี่พวกเขากำลังเล่นเพลงคนละเพลงอยู่นี่

แต่ทำไม มันช่างสอดประสานเข้ากันได้ดีเช่นนี้

และแล้ว แสงสว่างจากฟ้า และฝนแห่งสวรรค์
ก็พุ่งตรงลงมาที่กลางลานอีกครั้ง

เอลพิสยืนอยู่ไม่ได้เช่นเคย และต้องหาที่หลบซ่อนตัว

ซึ่งก็เห็นกระท่อมร้างอยู่ใกล้ๆ เขาจึงไปหลบที่นั่น

"ท่านอาจารย์ ... ท่านอาจารย์ ช่วยข้าด้วย
ข้าไม่อาจจะทานทนแสงนี้ได้แล้ว" เอลพิสร้องหาอาจารย์เจย์

"หลับตาของเจ้าเสีย" เสียงที่คุ้นเคยของอาจารย์เจย์ มาอยู่ใกล้เขาอีกครั้ง

"ท่านอาจารย์ ข้าไม่เข้าใจ ทำไมพวกเขาเล่นกันคนละเพลง
แต่กลับสอดประสานกันได้" เอลพิสถามด้วยความสงสัย

"ลืมแล้วหรือ ว่าเราเคยบอกท่านว่าอะไร" อาจารย์เจย์ถามเอลพิส

"บทเพลงแห่งพระพร จะเกิดขึ้น เมื่อทุกคนเล่นพร้อมกัน
ด้วยความเข้าใจ และยอมรับซึ่งกันและกัน"

"แต่เพราะท่านคิดว่า ความแตกต่าง คือความแตกแยก
ท่านจึงไม่ยอมให้เกิดความแตกต่าง"

"แต่ท่านอาจารย์ ถ้ามีความแตกต่าง
มันควบคุมยากนะครับ" เอลพิสแย้ง

"เพราะท่านคิดว่าท่านต้องควบคุม
ท่านจึงพยายามควบคุม" อาจารย์เจย์ตอบ

"และท่านก็เริ่มออกแรงกับการควบคุม จนกลายเป็นการบังคับ"

"และผลปลายทางจากการบังคับ คือความแตกแยก อย่างที่ท่านได้พบเจอ"

เออพิสรู้สึกปวดร้าวในจิตใจ กับคำตอบที่ตรงไปตรงมาของอาจารย์เจย์

"ท่านอาจารย์เจย์ ข้าควรจะทำอย่างไร
กับความแตกแยกที่เกิดขึ้นในหมู่ศิษย์ของข้า"

"ไม่ต้องทำอะไร" เสียงของอาจารย์เจย์ตอบกลับมา
เต็มเปี่ยมด้วยสิทธิอำนาจ

"เพราะหมดเวลาแล้วที่ท่านจะทำ"

เอลพิสรู้สึกผิด เสียใจกับสิ่งที่ทำไป

"ท่านอาจารย์ ข้าขอโทษ เป็นความโง่เขลาของข้า
ที่ไม่ได้สอนศิษย์ของข้า เหมือนที่อย่างที่ท่านเคยสอนข้ามาก่อน"

"ข้าควรจะบอกให้พวกเขา คิดค้นบทเพลงของตนเอง"

"ข้ารู้แล้วว่าเมื่อพวกเขามีความสุขกับสิ่งที่เค้าทำ
เค้าจะร่วมมือกันทำอย่างมีความสุข"

"บทเพลงอันแตกต่างของพวกเขา แต่เมื่อเล่นพร้อมกัน
จะสอดประสานกันได้เป็นอย่างดี อย่างข้าได้เห็น เมื่อสักครู่"

"ข้าขอโอกาสอีกครั้งได้ไหม ที่จะได้แก้ไขในความผิดพลาดนี้"
เอลพิสวิงวอนอาจารย์

"เปิดตาของเจ้าออกเถิด" อาจารย์เจย์กล่าวแก่เอลพิส

เอลพิสลืมตา เขาพบว่าตัวเองอยู่ที่กระท่อมกลางป่า ที่ๆ เค้าคุ้นเคย

และอาจารย์เจย์ ก็อยู่ตรงหน้าของเขา

"ท่านอาจารย์ ... ท่านอาจารย์" เอลพิสร้องหา
พร้อมกับทรุดตัวลงตรงหน้าท่านอาจารย์ที่เขารัก

"ลุกขึ้นเถิด เอลพิส" อาจารย์เจย์กล่าวกับเอลพิส

"ขอให้ข้าได้แก้ไขความผิดพลาดได้ไหมครับ ท่านอาจารย์"
เอลพิสถาม

"ไม่ใช่เรื่องของเจ้าแล้ว" อาจารย์เจย์กล่าว

"แต่เป็นเรื่องของทุกคน"

เอลพิสสงสัยกับคำตอบนี้ แล้วถามต่อว่า "ยังไงหรือครับ ท่านอาจารย์"

"ใกล้เวลาแล้ว ที่สัจจะชน ผู้รู้ถึงความจริง
จะเปิดเผยความจริงให้ทุกคนได้รู้"

"ผู้ใดที่รู้ถึงสัจจะ สัจจะก็จะทำให้เขาเป็นไท"

"และการเปลี่ยนแปลง จะเกิดขึ้น เพราะสัจจะ"

"สำหรับท่าน เอลพิส ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของท่าน
ท่านก็ได้ทำสิ่งที่ดีมามากมาย"

"และท่านจะขาดบำเหน็จ ก็หามิได้"

"เพียงแต่วันนี้ ความผิดพลาดที่ท่านทำขึ้น ไม่ใช่ท่าน ที่จะแก้ไข"

"และไม่ใช่เรื่อง ที่ท่านจะกระวนกระวาย"

"จงอยู่อย่างสงบ ที่นี่เถิด"

เอลพิสสงบใจลงได้

"ข้ายอมแล้วครับ ท่านอาจารย์"

"ขอบคุณสำหรับโอกาส ที่ผ่านมา"

"แม้จะผิดพลาด แต่เมื่อได้พบกับท่านอีกครั้ง
ข้าก็รู้สึกได้เหมือนวันแรกที่พบกันจริงๆ"

"ข้ามีความสุข เพราะเสียงเพลงของท่าน อย่างแท้จริง"

"และบทเพลงแห่งพระพร จะเกิดขึ้นในเมืองของข้าอย่างแน่นอน"

"ในไม่ช้านี้ อย่างแน่นอน"

***

จบบริบูรณ์

เอลพิส กับบทเพลงแห่งพระพร ตอนที่ 4


ศิษย์วงในของเอลพิส ผู้ซึ่งอยู่ในตำแหน่งประธานสำนัก
ได้ทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด

เขาได้ส่งจดหมายถึงศิษย์ทุกคน มีใจความว่า

"ทุกๆ ท่านคงทราบดี ถึงความเปลี่ยนแปลงที่แย่ลงของสำนักของเรา"

"ความสุขที่หายไปจากสำนักของเรา"

"เราต้องนำความสุขนั้นกลับมา"

"เราต้องตั้งคำถามกับจิตใจของเราจริงๆ จังๆ
เสียทีว่า เหตุใดเราถึงไม่มีความสุข"

"เป็นบทเพลงแห่งอนาคตใช่หรือไม่ ที่ทำให้เราไม่มีความสุข"

"เราต้องเรียกร้องให้ท่านอาจารย์เอลพิส ทบทวนตัวเองถึงสิ่งที่ท่านทำลงไป"

"เพราะเราไม่อาจจะใช้ชีวิตอยู่อย่างนี้ต่อไปได้ โดยปราศจากซึ่งความสุข"

จดหมายนี้สร้างความโกลาหลให้กับสำนักของเอลพิสอย่างใหญ่หลวง

ไม่ใช่แค่สำนักในเมืองของเอลพิส แต่รวมถึงเมืองอื่นๆ ด้วย

คนที่เคยเงียบ ก็ลุกขึ้นมาพูดอย่างจริงจัง ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น

คนที่จงรักภักดีกับเอลพิส
ก็ต่อว่าผู้ที่พูดพาดพิงถึงเอลพิสอย่างไม่ไว้เยื่อใย

คนที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการของประธานสำนัก
แต่ก็เหนื่อยที่จะอยู่กับเอลพิส ก็ขอถอนตัวออกไป

เมื่อเจรจากันไม่ได้ สำนักของเอลพิส แตกออกเป็นเสี่ยงๆ

มีกลุ่มที่อยู่กับประธานสำนัก
ซึ่งต้องการให้เกิดความสุขขึ้นอย่างแท้จริงในการบรรเลงบทเพลง

มีกลุ่มที่ยังภักดีกับเอลพิส ซึ่งก็แยกออกมา
และบรรเลงบทเพลงแห่งเอลพิส รวมทั้งบทเพลงแห่งอนาคตต่อไป

มีกลุ่มที่รับไม่ได้กับทั้งสองฝ่าย
แต่ก็ยังรู้สึกว่าบทเพลงแห่งเอลพิสเป็นสิ่งที่ดีที่ควรเก็บไว้
ก็แยกตัวออกมา

***

ว่ากันที่กลุ่มประธานสำนัก หลังจากก้าวออกมาจากเงาของเอลพิสแล้ว
เขาก็กล่าวกับศิษย์ที่เหลือว่า

"ความผิดพลาดที่ผ่านมา สอนเราให้รู้ว่า แท้ที่จริง
ต้นเหตุแห่งบทเพลงที่ทำให้มีความสุข
ก็คือความสุขของผู้บรรเลง ไม่ใช่ที่ตัวบทเพลง"

"ดังนั้น ข้าจึงอยากให้พวกท่าน มีอิสรภาพในวันนี้
ที่จะเป่าบทเพลงของท่าน เพื่อให้ความสุข แก่ตัวท่าน และชาวเมืองนี้"

ศิษย์ที่ได้ยินนั้นยิ้มแย้มแจ่มใส และทำตามที่ประธานสำนักเปิดโอกาสให้อย่างไม่รีรอ

ส่วนกลุ่มที่รับไม่ได้กับทั้งสองฝ่าย ผู้ที่เป็นประธานกล่าวว่า

"ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น สอนให้เรารู้ว่าต้องแก้ปัญหาให้ถูกต้อง"

"จงจำไว้ว่าเราไม่เคยเปลี่ยนไป แต่ท่านเหล่านั้นต่างห่างที่เปลี่ยนไป"

"เหตุฉะนั้น เราก็จะยังทำสิ่งดีที่เคยเป็นมา
และพัฒนาสิ่งอื่นๆ ให้ดียิ่งขึ้นด้วย เช่นกัน"

ศิษย์ที่มาด้วยก็ยิ้มแย้ม แต่บางคนก็เศร้าใจอยู่บ้าง
ที่ความภูมิใจในอดีตสูญสลายไปในวันนี้

และว่าที่กลุ่มของเอลพิส

เอลพิสไม่รอร้าที่จะจัดการประชุม กับผู้ที่ภักดี

"ความภูมิใจของเรา ถูกพังทลายด้วยคนที่ทรยศพวกเรา"

"แต่วันนี้ เราจะเสียใจต่อไปไม่ได้"

"เราต้องเข้มแข็ง ยืนหยัดต่อไป"

"ความเชื่อที่ว่า บทเพลงแห่งเอลพิสเป็นเพลงที่ให้ความสุขอย่างแท้จริง
ยังเข้มข้นอยู่ในใจของเรา"

"และบทเพลงแห่งอนาคต จะขับเคลื่อนเราทุกคนไปสู่อนาคตที่รุ่งโรจน์ได้"

ศิษย์ที่ภักดี ต่างตะโกนโห่ร้องด้วยความศรัทธาที่เปี่ยมล้นในตัวอาจารย์ของเขา

***

เมืองที่เคยมีความสุข ก็โกลาหลไม่ต่างกัน

ไม่ได้โกลาหลเพราะแค่ต่างคนต่างความเห็น

แต่โกลาหล เพราะต่างคนต่างก็เป่าแตร
จนน่ารำคาญ

ศิษย์ประธานสำนักเป่าอยู่ จู่ๆ ศิษย์ของเอลพิสก็มาแย่งที่

ทั้งที่เป่าเพลงเดียวกันแท้ๆ แต่แย่งกันเป่าจนฟังแล้วน่ารำคาญ

ชาวเมืองหลายคนเริ่มเอือมระอากับกับเสียงแตรของทั้งศิษย์ประธานสำนัก
และศิษย์เอลพิสในปัจจุบันกันมากขึ้น

ศิษย์ประธานสำนักบางคน ก็เลือกที่จะไม่เป่าเพลงแห่งเอลพิส
แต่นำเสนอเพลงของตัวเอง
ซึ่งชาวเมืองหลายๆ คน ก็ชอบ

แต่ศิษย์ของเอลพิส ก็ยังยึดมั่นในบทเพลงเดิม รวมถึงบทเพลงแห่งอนาคต

ที่ฟังมากเข้าเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่ไพเราะ

สำหรับศิษย์ที่แยกตัว ก็ยังชอบเป่าบทเพลงแห่งเอลพิสอยู่

แต่เป่าผิดๆ ถูกๆ จนกลายเป็นเพลงที่ดูไม่เป็นโล้เป็นพายเสียเท่าไหร่

***

ทุกอย่างวุ่นวายมากเข้า จนเอลพิสเครียดจัด

และในที่สุด เอลพิสก็หลับไป เพราะความเครียดนั้น

เขาตื่นขึ้นมาอีกที พบว่าตัวเองอยู่ในกระท่อมกลางป่าที่คุ้นเคย

และชาย คนที่เขาคุ้นเคยเช่นกัน

"ท่านคือใครหรือ" เอลพิสถาม

"ไม่ได้เจอกันนานนะ" ชายผู้นั้นหันกลับมา

เอลพิสตกใจ

"อาจารย์เจย์"

"มาเถิด เราจะให้ท่านดูอะไร"

***

ติดตามตอนต่อไป

เอลพิส กับบทเพลงแห่งพระพร ตอนที่ 3


อีกครั้งหนึ่ง ที่เอลพิส ได้นำศิษย์ของเขาทั้งหมด รวมถึงตัวเขา
ออกแสดงบทเพลงแห่งเอลพิส
เพื่อให้ความสุขกับชาวเมืองทุกคน

และแน่นอน ... เพื่อย้ำว่า บทเพลงแห่งเอลพิส เป็นบทเพลงแห่งความสุขที่แท้จริง

การแสดงทำท่าจะไปได้สวย แต่ก็มามีปัญหาในตอนสุดท้าย

ศิษย์รุ่นหลังๆ ของเอลพิสหลายคน ไม่สามารถเล่นเพลงได้ดีเท่ารุ่นแรกๆ

ทำให้บทเพลงฟังไม่พร้อมเพรียงกัน

การแสดงวันนั้น จบลงอย่างพอดูได้

และ "ฝนแห่งสวรรค์" ก็ยังไม่ปรากฎ เหมือนเคย

แต่คนทั้งหลายก็เริ่มสงสัยแล้วว่า เกิดอะไรขึ้นกับบทเพลงแห่งเอลพิส
ที่เคยให้ความสุขแก่พวกเขา

***

เอลพิสเสียใจ และโมโหอย่างมาก

"ทำไมพวกเจ้าถึงไม่ทุ่มเท ฝึกฝนให้ดีกว่านี้"
เอลพิสต่อว่าศิษย์เหล่านั้นที่ทำพลาด

"พวกเจ้าทำให้คนทั้งเมืองหมดความสุข ทั้งๆ ที่บทเพลงแห่งเอลพิส
คือความสุขของพวกเขา"

ศิษย์เหล่านั้นก็เสียใจ ที่ไม่สามารถทำได้ดีเท่าที่เอลพิสคาดหวัง

ไม่ใช่พวกเขาไม่ฝึกซ้อม

ไม่ใช่พวกเขาไม่อยากให้ชาวเมืองมีความสุข

แต่บทเพลงแห่งเอลพิส ไม่ถนัดมือพวกเขาจริงๆ

และแล้ว เมื่อทนแรงกดดันไม่ไหว ศิษย์เหล่านั้น
ก็หนีหายจากสำนักของเอลพิส

และไม่กลับมาเป่าแตรอีกเลย

***

นับวัน สำนักของเอลพิสใหญ่โตขึ้นก็จริง
แต่สิ่งที่เริ่มหายไปจากชีวิตของเอลพิส คือความสุข

ตื่นเช้ามา เขาก็ต้องไปดูการฝึกซ้อมของศิษย์รุ่นใหม่ๆ

กลางวัน ก็เฝ้ารอจดหมาย ที่ส่งมาจากสำนักของเอลพิส ที่เมืองอื่นๆ

ตอนเย็น ก็ต้องอยู่ประชุมกับศิษย์รุ่นแรก

ตกค่ำ ก็หลับไม่ลง เพราะยังต้องคิดสิ่งที่ต้องทำพรุ่งนี้ต่ออีก

ความสุขของเอลพิสที่หายไป
ก็ทำให้บทเพลงของเอลพิสหมดความสุขไปด้วย

ศิษย์ที่ยังอยู่กับเขา ก็ยังทำงานอยู่เช่นเดิม

ยังเป่าบทเพลงแห่งเอลพิสอยู่เหมือนเดิม

แต่ ... ที่ไม่เหมือนเดิม คือความสุข หายไปจากบทเพลง

แต่ก็อีกนั่นแหละ ... เพราะทุกๆ คนที่เป็นศิษย์เอลพิส
ได้รับการปลูกฝังค่านิยมว่า บทเพลงของเอลพิส คือความสุขที่แท้จริง

จึงไม่มีใครกล้าเชื่อสิ่งที่ตัวเองรู้สึกจริงๆ
และพยายามที่จะเป่าบทเพลงแห่งเอลพิสต่อไป

***

วันหนึ่ง เอลพิสก็จัดประชุมศิษย์ทุกคนอีกครั้ง

"ข้าเห็นสิ่งที่เกิดในหมู่พวกเรา และข้าคิดว่าพวกเราต้องทำอะไรบางอย่าง"

"บทเพลงแห่งเอลพิส ถูกใช้มานาน และก็เป็นบทเพลงแห่งความสุขที่แท้จริง"
"แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ก็ควรมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นในพวกเราบ้าง"

ศิษย์หลายคนฟังอย่างใจจดใจจ่อ ... สิ่งใหม่น่ะหรือ? ...

"ข้าได้ทำบทเพลงขึ้นมาอีกหนึ่งบทเพลง"

"ขอให้ชื่อมันว่า บทเพลงแห่งอนาคต"

ศิษย์หลายคนงง ... บทเพลงแห่งอนาคตหรือ

"เพราะอุดมการณ์ที่เรามี การให้ความสุขแก่ชาวเมืองนี้"

"และบทเพลงแห่งอนาคต จะเป็นสิ่งที่ให้ความสุขแก่ชาวเมือง
มากขึ้นกว่าเดิมได้อย่างแน่นอน"

แล้วเอลพิส ก็เริ่มบรรเลงบทเพลงแห่งอนาคตให้ศิษย์ทั้งหมดได้ฟัง

บทเพลงนั้นดูไพเราะก็จริง แต่สิ่งที่ศิษย์หลายคนสัมผัสได้ก็คือ
มันฟังแล้วดูเหนื่อยล้า มากกว่าจะเป็นความสุข

"มีใครจะพูดอะไรไหม" เอลพิสถาม

ทุกๆ คนเงียบ ไม่มีใครกล้าขัดอาจารย์ของพวกเขา

เพราะไม่อยากให้ท่านอาจารย์ของพวกเขาเสียใจ

และแน่นอน สิ่งที่ท่านอาจารย์คิดมาแล้ว ก็คงดีที่สุด

"ฉะนั้น นับตั้งแต่พรุ่งนี้ไป พวกเจ้าทั้งหลาย
จงฝึกฝนบทเพลงแห่งอนาคตเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเพลง
และเป่าให้ชาวเมืองได้ฟัง"

***

ยิ่งฝึกฝนบทเพลงแห่งอนาคต ศิษย์หลายคนก็เริ่มท้ออกท้อใจ
เพราะมันช่างเหนื่อยล้า และขาดความสุขอย่างมากมาย

และเมื่อบรรเลงให้ชาวเมืองได้ยิน ชาวเมืองก็รู้สึกได้ว่า
มันไม่ไพเราะเท่าบทเพลงแห่งเอลพิส

พอครั้นศิษย์ของเอลพิส บรรเลงบทเพลงแห่งเอลพิสไปด้วย
ชาวเมืองก็แทบจะเบือนหน้าหนี

เพราะมันไม่ให้ความสุขแก่พวกเขา เหมือนแต่ก่อน

ในขณะเดียวกัน ผู้เป่าแตรที่เคยอยู่กับเอลพิส
แล้วปัจจุบันเป่าบทเพลงของตัวเอง มีคนมาขอเป็นศิษย์เพิ่มมากขึ้น

ศิษย์เหล่านั้น ได้อิสระภาพ ในการบรรเลงบทเพลงของตัวเอง
ที่จะทำให้เกิดความสุข ทั้งต่อตัวเขาเอง และกับผู้ที่ได้ฟัง

ศิษย์ของเอลพิสเริ่มหายไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ

จนวันที่น่าสะเทือนใจได้เกิดขึ้น

***

ติดตามตอนต่อไป

เพื่อตอบสนองความต้องการของทุกท่าน

เอาไปเลยครับ 3 ตอนที่เหลือ 55555555

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เอลพิส กับบทเพลงแห่งพระพร ตอนที่ 2


เอลพิสกลับมายังเมืองของตนเอง
และได้เริ่มหน้าที่ในการเป่าแตรบรรเลงเพลงแห่งความสุขให้แก่เมืองของเขา

คนเป็นอันมากได้ยิน ก็มีความสุข

คนยากจนได้ยิน ก็มีความสุข

คนร่ำรวยได้ยิน ก็มีความสุข

ไม่ว่าใครได้ยิน ก็มีความสุข

แม้บางครั้ง บางคนอาจจะไม่ชอบเสียงแตรของเอลพิสในวินาทีแรกที่ฟัง

แต่เมื่อเขาได้ฟังไปเรื่อยๆ คนที่ไม่ชอบก็เปลี่ยนใจเป็นชอบได้

***

แน่นอนว่า มีคนหลายคนก็ได้ขอเป็นศิษย์ของเอลพิส เพื่อที่จะเป่าแตรแห่งความสุขนี้เช่นกัน

เอลพิสยินดีที่จะสอนคนเหล่านั้น อย่างจริงจังและเต็มที่

และศิษย์รุ่นแรกของเอลพิสก็กำลังจะจบการศึกษา

"ท่านอาจารย์เอลพิส บทเพลงใดคือบทเพลงสุดท้ายที่จะทำให้พวกเราเรียนจบได้ครับ"

"แม้ยากเย็น เราก็จะทำให้ได้ครับ"

เอลพิสนึกถึงวันที่ตัวเองรับการทดสอบจากอาจารย์เจย์ และก็ครุ่นคิดในใจ

"ถ้าเราทดสอบแบบที่อาจารย์เจย์เคยทดสอบเรา มันคงเสียเวลาน่าดู"

"เมืองนี้ต้องการความสุขโดยเร็ว ไม่ควรที่เราจะชักช้าในการให้คนไปทำงานนี้"

"เอาอย่างนี้ดีกว่า"

แล้วเอลพิสก็หันไปบอกลูกศิษย์ของเขาว่า

"บทเพลงสุดท้ายที่ข้าจะทดสอบพวกเจ้า คือบทเพลงแห่งเอลพิส"
"ซึ่งข้าได้ให้ความสุขแก่เมืองนี้ ด้วยบทเพลงนี้นั่นเอง"

"สิ่งที่ข้าต้องการจากพวกเจ้า คือการที่พวกเจ้าจะเป่าบทเพลงนี้ได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน
ทั้งท่วงทำนอง และความรู้สึกของบทเพลงนี้"

"นี่จะเป็นบรรทัดฐาน สำหรับศิษย์รุ่นต่อๆ ไป
ที่พวกเจ้าจะสั่งสอนให้พวกเขา เข้าถึงบทเพลงแห่งเอลพิสให้จงได้"

ศิษย์ทุกคนน้อมรับได้ใจเชื่อฟัง และฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตาย

และทุกๆ คนก็สำเร็จการศึกษาได้ ภายใน 1 เดือน

เอลพิสก็คิดในใจว่า "นี่ล่ะ เมื่อทุกๆ คนเป่าบทเพลงแห่งเอลพิสพร้อมๆ กัน
มันคงจะได้เป็นบทเพลงของพระพรอย่างที่ท่านอาจารย์เจย์เคยบอกไว้แน่ๆ"

***

และวันนั้นก็มาถึง เมื่ออาจารย์ และศิษย์รุ่นแรกได้เป่าแตรร่วมกันเป็นครั้งแรก
ให้ชาวเมืองได้ฟัง

ทุกๆ ชื่นชม และมีความสุขกันอย่างมากมาย

แต่ ... ไม่มีหมายสำคัญอย่างที่อาจารย์เจย์บอกไว้ก็คือ "ฝนแห่งสววรค์" ร่วงหล่นลงมา

"ไม่เป็นไร แค่คนมีความสุข ก็ดีแล้ว" เอลพิสคิดในใจ

***

เอลพิส และศิษย์ทั้งหลายของเขา กลายเป็นความสุขของชาวเมืองแทบทุกคน

ทุกถนนในเมือง มีศิษย์ของเอลพิสคอยเป่า "บทเพลงแห่งเอลพิส" เพื่อให้ความสุข อยู่ทุกๆ วัน

และก็ไม่ได้มีแค่เมืองของเอลพิส ศิษย์ของเอลพิสหลายคน
ก็ได้เดินทางไปยังเมืองอื่นๆ เพื่อนำความสุขไปให้พวกเขาด้วยเช่นกัน

***

ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไปได้ด้วยดี จนกระทั่งวันหนึ่ง ...

"อาจารย์ ข้าเป่าบทเพลงแห่งเอลพิสไม่ได้จริงๆ ข้าไม่ถนัด"
ศิษย์รุ่นหลังคนหนึ่ง บอกกับอาจารย์ของเขา
ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นแรกๆ ที่เอลพิสยังสอนเองกับมือ

"ถ้าเจ้าเป่ามันไม่ได้ จะให้ความสุขผู้คนได้อย่างไร" อาจารย์เตือน

"ข้าคิดว่า ข้าจะลองสร้างบทเพลงของตัวเอง ที่ข้าทำแล้วถนัดมือกว่า"

"ข้าเชื่อว่ามันไพเราะ และให้ความสุขกับคนได้เช่นกัน"

"เจ้าทำอย่างนี้ไม่ได้" อาจารย์กล่าวห้าม

"ถ้าเจ้าเป่าไปตามอำเภอใจของเจ้า มันจะเสียบรรทัดฐานที่วางไว้"

"แต่ข้าไม่ถนัดจริงๆ นะครับ ท่านอาจารย์" ศิษย์อ้อนวอน

"จงเชื่อฟัง เป่าบทเพลงของเอลพิสให้ได้
นี่คือบทเพลงแห่งความสุขที่แท้จริง" อาจารย์ตัดบท

ศิษย์คนนั้น เดินออกไป จิตใจของเขาห่อเหี่ยว
เพราะเขาก็พยายามแล้ว แต่บทเพลงแห่งเอลพิสมันไม่ถนัดกับตัวของเขาจริงๆ

เขาพยายามฝืนเป่าบทเพลงแห่งเอลพิสตามศิษย์คนอื่นไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ทนไม่ไหว

"ขอโทษจริงๆ นะครับท่านอาจารย์ และท่านอาจารย์ใหญ่เอลพิส" เขานึกในใจ

"ข้ารู้สึกว่า ข้าคงไม่สามารถเป็นศิษย์ของท่านต่อไปได้"

และแล้วเขาก็หายหน้าไปจากเมือง

ผ่านไปสักพัก เขาก็กลับมา พร้อมกับการเป็นผู้เป่าแตรตามที่เคยเป็นมา

แต่ท่วงทำนองของเขา ต่างกับท่วงทำนองของบทเพลงแห่งเอลพิส

ผู้ที่ได้ยินก็ประหลาดใจว่า "นี่เป็นบทเพลงอะไรหรือ
ทำไมถึงทำให้พวกเรามีความสุขได้เหมือนอย่างบทเพลงแห่งเอลพิสเลย"

***

เรื่องถึงหูเอลพิสเข้า ว่ามีคนเป่าแตร แต่คนละท่วงทำนองกับบทเพลงแห่งเอลพิส

เอลพิสรู้สึกโกรธ

อย่างแรก คนๆ นั้นเคยเป็นศิษย์ในสำนักของเอลพิส

อย่างที่สอง เขากลับไม่ยอมเป่าบทเพลงแห่งเอลพิส

เอลพิสจึงเรียกประชุมศิษย์ทุกคน กล่าวว่า

"ทุกคนคงรู้ดีว่ามีคนหนึ่งในพวกเราจากเราไป และวันนี้เขากลับมา ทำในสิ่งที่ต่างกับพวกเรา"

"สิ่งแรกที่เราต้องดูแล ก็คืออย่าให้ใครในพวกเราออกไปอีก"

"และสิ่งที่สอง จงสร้างค่านิยมว่า
บทเพลงที่ให้ความสุขได้มากที่สุด คือบทเพลงแห่งเอลพิส"

ศิษย์ที่จงรักภักดีทุกคนรีบปฎิบัติตามทันที

แต่ก็มีศิษย์บางคน เริ่มรู้สึกแปลกๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
และการตัดสินใจของท่านอาจารย์ใหญ่เอลพิส

"ผิดด้วยหรือ ที่คนๆ หนึ่ง ทำสิ่งที่แตกต่าง แต่ก็ให้ความสุขกับผู้อื่นได้เหมือนกัน"

***

ติดตามตอนต่อไป

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เอลพิส กับบทเพลงแห่งพระพร ตอนที่ 1


กาลครั้งหนึ่ง มีเด็กชายที่ใฝ่ฝันว่า อยากเห็นเมืองที่ตนเองอยู่มีความสุข

ชื่อของเขาคือ "เอลพิส"

เมืองที่เขาอยู่มีความทุกข์มากมายอยู่รอบตัวของเขา

คนยากจนก็มากมาย

คนไม่มีจะกินก็เยอะแยะ

คนเป็นหนี้ก็เต็มไปหมด

และที่สำคัญ คนรวยก็รวยล้นฟ้า แต่คนจนก็จนต่อไป

แม้เอลพิสจะเป็นลูกของคนที่มีฐานะอยู่บ้าง
แต่เมื่อเขาเองได้เห็นความทุกข์อย่างที่ว่ามา
เขาก็เกิดความรู้สึกว่า เขาน่าจะมีส่วนช่วยทำให้เมืองนี้มีความสุขได้

วันหนึ่ง เอลพิสได้ไปร่ำเรียนวิชาที่ต่างบ้านต่างเมือง ซึ่งเจริญกว่าเมืองที่เขาอยู่

แม้จะไม่ค่อยเต็มใจนักในตอนแรก แต่เพราะเห็นแก่พ่อและแม่ เขาจึงยอมเดินทางไปแต่โดยดี

***

เมืองที่เอลพิสไปร่ำเรียนก็เจริญกว่าที่เขาอยู่จริงๆ นั่นแหละ

อยู่ไปเรื่อยๆ เขาก็ชักชอบ จนบางทีก็อยากจะอยู่ไปตลอดเลย

แต่เมื่อนึกถึงความฝันที่อยากทำให้เมืองของตัวเองมีความสุขขึ้นมา

นึกถึงคนจนที่มีมากมาย

นึกถึงคนเป็นหนี้ที่มีเต็มไปหมด

เขาก็ตอบตัวเองว่า "ไม่ได้ ... เราต้องกลับไปช่วยพัฒนาเมืองของเรา"

วันหนึ่ง ในขณะที่เดินเล่นอยู่ เอลพิสได้ยินเสียงแตรมาจากที่ไกล

เป็นเสียงแตรที่ไพเราะมาก ... มากจนดึงดูดให้เขาค้นหาว่าต้นเสียงนั้นอยู่ที่ไหน

เขาเสาะหาไปทั่ว ด้วยความกระหายอยากรู้

จนมาถึงที่บ้านหลังหนึ่ง กลางป่าใหญ่

เขาพบชายคนหนึ่ง ผู้เป็นเจ้าของเสียงแตรอันไพเราะนั้น

เอลพิส ไม่รีรอที่จะเข้าไปหาชายผู้นั้น

"ท่านคือผู้เป่าแตรนี้หรือ เหตุใดท่านเป่าแตรได้ไพเราะขนาดนี้"

ชายผู้นั้น หันกลับมาตอบเอลพิสด้วยความอ่อนโยนว่า

"เพราะเราเป่า อย่างที่เราเป็น"

เอลพิสงุนงงเล็กน้อยกับคำตอบ แต่ก็ยังถามต่อไป

"เสียงแตรของท่าน ทำให้ข้ามีความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน"

ชายผู้เต็มไปด้วยความอ่อนโยน เดินเข้ามาใกล้เอลพิสและบอกว่า

"ความสุขที่ท่านได้จากเรา ไม่เหมือนที่โลกนี้ให้"

"และเสียงที่ได้ยิน คือเสียงแห่งชีวิต"

"บัดนี้ท่านได้เชื่อในเสียงแห่งชีวิต ท่านจึงมีชีวิตด้วยเสียงที่ได้ยิน"

เอลพิสรู้สึกแปลบปลาบใจ กับความสุขที่ไม่เคยได้รับมาก่อนในชีวิต

"ข้าเชื่อ ... เสียงแตรของท่าน ทำให้ข้ามีความสุข"

และชายผู้อ่อนโยนนั้นก็ได้นำแตรอีกคันมา มอบให้เอลพิส

"จงเป็นผู้เป่าแตรแห่งความสุขนี้ ให้แก่เมืองของท่านเถิด"

เอลพิสตกใจ "ท่าน ..... รู้ด้วยหรือว่าข้ามีความฝันอะไรในใจ"

"เรารู้" ชายผู้อ่อนโยนตอบเอลพิส

"และเราก็เรียกท่านให้ทำสิ่งนี้ แม้ท่านอาจจะสงสัยว่ามันจะได้ผลหรือไม่"

"เพราะความสุขที่แท้ เริ่มต้นจากภายใน"
"และท่านจะเป็นตัวแทนของเรา ในการบรรเลงเสียงแห่งความสุขนี้ แก่เมืองของท่าน"

"แล้วข้าจะเป่าอย่างไร ข้าเป่าไม่เป็น" เอลพิสแย้ง

"เราคืออาจารย์ของท่าน" ชายผู้อ่อนโยนตอบเอลพิส

"ท่านชื่อว่าอะไร" เอลพิสถาม

"เรียกเราว่า เจย์" ชายผู้อ่อนโยนเผยชื่อให้เอลพิสฟังเป็นครั้งแรก

"ท่านอาจารย์เจย์ ข้าขอคาราวะท่าน โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วย" เอลพิสคุกเข่าลง

"ลุกขึ้น และตามเรามาเถิด"

***

การฝึกฝนของเอลพิสก้าวหน้าไปเรื่อยๆ จนมาถึงวันแห่งการฝึกขั้นสุดท้าย

"บอกข้ามาเถิดท่านอาจารย์ บทเพลงไหนคือบทเพลงสุดท้ายที่จะทำให้ข้าสำเร็จวิชาจากท่านได้"

"แม้ยากแค่ไหน ข้าจะทำให้สำเร็จ"

อาจารย์เจย์หันมายิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับเอลพิส ผู้ซึ่งเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มมากขึ้นทุกวัน

"สิ่งสุดท้ายที่เราอยากได้ยินจากท่าน คือบทเพลงแห่งความสุข ที่ท่านเป็นผู้สร้างสรรค์ขึ้นมาเอง"
อาจารย์เจย์ตอบเอลพิส ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้เอลพิสไม่ใช่น้อย

และนั่นก็เป็นเหตุที่ทำให้เอลพิส ต้องกลับไปคิดบทเพลงของตัวเองออกมา
ซึ่งกว่าจะคิดออกมาได้ ก็ใช้เวลาอีกประมาณครึ่งปี

และกว่าจะเป็นที่พอใจของอาจารย์เจย์ ก็อีกครึ่งปีเช่นกัน

"ข้าเชื่อแล้วล่ะท่านอาจารย์ ว่าบทเพลงสุดท้ายที่ทำให้สำเร็จวิชานี่มันยากจริงๆ" เอลพิสบอกกับอาจารย์เจย์

"สิ่งที่ท่านทำได้ในวันนี้ จะเป็นความสุขแก่ผู้ที่ได้ยิน" อาจารย์เจย์ให้โอวาทแก่เอลพิส

"จงเป่าบทเพลงแห่งความสุขนี้ แก่เมืองของท่าน"

"ถ้าผู้ใดใคร่จะเป็นผู้มอบความสุขเฉกเช่นเดียวกับท่าน จงสั่งสอนเขาเหมือนที่เราสั่งสอนท่าน"

"ถึงกระนั้นก็ตาม ยังมีอีกหนึ่งบทเพลงที่ท่านไม่เคยได้ยิน นั่นคือบทเพลงแห่งพระพร"

เอลพิสสงสัย ... นี่ยังมีบทเพลงที่เขายังไม่ได้ยินอีกหรือ

"เรารู้ว่าท่านจะบอกเราว่า ' สอนข้าด้วยสิ ท่านอาจารย์' "
"แต่เราบอกความจริงกับท่านว่า ท่านจะได้ยินบทเพลงนี้ เมื่อท่านได้ร่วมเป่าแตรกับผู้อื่น"

"บทเพลงแห่งพระพร จะเกิดขึ้นเมื่อร่วมกันบรรเลง อย่างเข้าใจ และยอมรับ ซึ่งกันและกัน"

"เมื่อบทเพลงแห่งพระพรเกิดขึ้น ดูเถิดจะมีหมายสำคัญเกิดขึ้น"
"ท้องฟ้าจะเปิดออก และฝนแห่งสวรรค์จะตกลงมา"

"ไปเถิด กลับไปที่เมืองของท่านได้แล้ว" อาจารย์เจย์สั่งลาเอลพิส

"คาราวะท่านอาจารย์ พระคุณของท่านมากมายต่อชีวิตข้าเหลือเกิน"

"ข้าสัญญาว่า จะให้ความสุขกับเมืองของข้า ด้วยเสียงแตรแห่งความสุขนี้ ไปตลอดชีวิตของข้า"

"จะใช้ชีวิตนี้ให้สมกับที่ท่านอาจารย์เจย์สั่งสอนข้ามา"

"ข้าขอลา" เอลพิสร่ำลาอาจารย์ของเขา และกลับไปยังเมืองของตนเอง

***

ติดตามตอนต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

หวังดี แต่ไม่เข้าใจ = หวังร้าย แต่ไม่รู้ตัว


ตอนประมาณ ป.5 แม่ทำบ้านใหม่เสร็จ และก็จะเอาผมไปอยู่ด้วย

กำลังเก็บของจะเรียบร้อยอยู่แล้ว ย่าที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็กก็มาคุยด้วย

"ขิงน่าจะอยู่กับย่าต่อนะ จะได้เรียนโรงเรียนดีๆ ต่อ"

"อยู่กับย่าน่าจะมีประโยชน์กว่านะ"

"ลองบอกแม่ดูสิถึงเหตุผลที่ย่าให้ไป"

พอบอกแม่เท่านั้นแหละ แม่ร้องไห้ยกใหญ่ บอกว่าไม่รักแม่เหรอ ทำไมทำกับแม่อย่างนี้

สุดท้าย ก็เลยไปอยู่กับแม่

ความหวังดีของย่า เกือบทำให้ผมทำให้แม่เสียใจไปตลอดชีวิตแล้ว

(ซึ่งก็มารู้เอาทีหลังว่าย่ากับแม่ไม่ค่อยถูกกัน เฮ้อ ... ให้มันได้อย่างงั้นสิ)

พออยู่กับแม่ เมื่อจะขึ้นม. ปลาย แม่ก็มาคุยว่าขิงควรจะเรียนสายวิทย์นะ

"จะได้ทำมาหากินได้ง่าย"

ผมแอบร้องไห้ไม่ให้ใครเห็น เสียใจที่แม่ไม่เข้าใจผม ว่าผมน่ะเป็นคนชอบเรียนภาษากับประวัติศาสตร์ขนาดไหน

จนท้ายที่สุดพ่อก็มาช่วยพูดกับแม่ จนแม่ยอมให้ผมเรียนสายศิลป์ภาษา

เมื่อผมมาเชื่อพระเจ้า เชื่อจริงๆ จังๆ ได้สักพักก็ถูกหนุนใจว่า ควรรีบตั้งเป้าหมายจะเป็นหัวหน้าแคร์ให้ได้ภายใน 3 เดือนนะ

เลยฟิตใหญ่ ประกาศแล้วประกาศเล่า เค้าก็บอกว่าพูดอะไรน่ะ ไม่รู้เรื่อง

จนเมื่อได้พบกับพี่เลี้ยงคนหนึ่ง ที่ผมเคารพนับถือมาก เค้าก็บอกให้ผมหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ และวางรากฐานผมเสียใหม่

จนได้มาเป็นขิงแบบที่เห็นทุกวันนี้ ซึ่งไม่ต้องพยายามจะพูดเยอะ แต่พูดแล้ว "ทะลุใจ" ได้

คนหวังดีเยอะจริงๆ

เยอะมาก

แต่คนเข้าใจนี่น่ะสิ ทำไมมันหายากจัง

บางบริษัทที่ผมเคยทำงานให้ หวังดีกับผม สัญญาว่าจะจ่ายเงินให้ตรงเวลาเสร็จงาน

พอไปรับเงิน ก็ผัดผ่อนอยู่นั่นแหละว่าเงินงวดนี้หมดแล้ว รออีกหน่อยได้ไหม

ครั้งหนึ่งเหลืออดจริงๆ เลยยื่นคำขาดว่าจะนั่งมันอยู่ตรงที่รับแขกบริษัทเนี่ยแหละ จนกว่าจะจ่ายเงิน

ในใจก็คิดต่อไปด้วยว่า ใครมาติดต่ออะไรผมก็พูดให้เสียๆ หายๆ เป็นการ Discredit ไปเลย

ดีที่ไม่ได้ทำ และเค้าก็รีบจ่ายเงินผมแต่โดยดี

ผมเคารพในความหวังดี แต่เหนื่อยใจจริงๆ กับความไม่เข้าใจ

พระคัมภีร์เองก็ให้บทเรียนเรื่องนี้

ดาวิดหวังดี จะเอาหีบพันธะสัญญากลับเข้าเยรูซาเลม

เขาได้ใช้เกวียนลากหีบ

แต่เมื่อโคสะดุด อุสา คนที่อยู่ใกล้เหตุการณ์ที่สุดพยายามไปจับหีบไว้ไม่ให้ตกลงพื้น

เขาตายทันที

ความหวังดีของดาวิด กลับทำให้ชีวิตหนึ่งชีวิตสิ้นไป

เพราะ "ลืม" ศึกษาให้ดีว่า หีบพันธะสัญญาต้องใช้คนเลวีเท่านั้นเป็นคนเคลื่อนย้าย

ผมขอบคุณทุกคน ที่หวังดี กับชีวิตของผม

แต่ก็อยากบอกว่า คนที่เปลี่ยนชีวิตผมได้จริงๆ คือคนที่เข้าใจผม

ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อที่พูดกับแม่ว่าให้ขิงมันเรียนตามที่มันสนใจเถอะ วันนั้นขิงก็คงเป็นเด็กสายวิทย์ที่คะแนนแย่มากๆ

และคงสอบเข้าธรรมศาสตร์ไม่ได้

ถ้าไม่ใช่เพราะพี่เลี้ยงคนที่ผมนับถือบอกให้ผมเลิกทำตัวเป็น "คริสเตียนที่ดี" ในสายตาคนอื่น แล้วมาวางรากฐานชีวิตใหม่

ป่านนี้ผมว่าผมคงหลงหายไปเรียบร้อยโรงเรียนมารแล้ว เพราะลึกๆ ในใจตอนนั้นก็สับสนไม่น้อย

ในทางกลับกัน สิ่งที่ผมและเพื่อนรักอีกสองคนเคยทำลงไป อาจจะดู "ไม่หวังดี" กับใครหลายๆ คน ที่เป็น "คนที่อยู่สูงกว่า"

วันหนึ่ง ไอ้สามตัวนี้ เปิดบ้าน Center ที่ดูไร้ระเบียบเสียไม่มี

ไม่ได้วางกฎบ้าน ไม่ได้วางระเบียบอะไรชัดเจน

อยากอธิษฐานด้วยกัน ก็ปลุกกันมาอธิษฐาน

ชอบจัด Meeting คืนวันเสาร์ โปรแกรมก็ไม่มีอะไรนอกจากกิน คุย และนมัสการ

ใครมีปัญหา ก็เชิญมาระบายที่นี่

ดูแย่มาก แต่ ... ก็ช่วยทำให้คนที่กำลังจะหลงหาย กลับมาหาพระเจ้าได้อย่างเป็นธรรมชาติอีกครั้ง

ตอนนี้ ผมอยากเชิญชวนทุกๆ คนที่หวังดีกับผม มาลองทำความเข้าใจผมอย่างง่ายๆ

อย่างแรก ลองอยู่ในสตูดิโอกับผมสักครึ่งวัน

แล้วจะรู้ว่าทำเพลงน่ะมันเหนื่อย

อย่างที่สอง ลองเดินจากราชเทวี ไปถึง RCA ดู

แล้วจะรู้ว่า เวลาไม่มีเงินมันเป็นยังไง

(ขึ้นรถเมล์ยังสบายกว่าเลย)

อย่างที่สาม ... นึกไม่ออก

555

อย่าเลย แค่สองอย่างก็พอแล้วมั๊ง

ขอบคุณที่หวังดีครับ ผมแค่ต้องการความเข้าใจ หุๆๆๆๆ