วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2552

ยิ่งควบคุม ยิ่งสูญเสียการควบคุม


มนุษยชาติพยายามควบคุมธรรมชาติ และนำธรรมชาติมาอยู่ภายใต้การควบคุมของมนุษย์

ซึ่งก็ประสบความสำเร็จ แต่ไม่ยั่งยืน

เพราะทุกๆครั้งที่มนุษย์พยายามจะควบคุมธรรมชาติ ธรรมชาติก็มักจะมี "การโต้กลับ" ที่มนุษย์เกินควบคุม

มนุษย์ทำเขื่อนได้ แต่วันหนึ่งธรรมชาติก็เล่นตลก ใส่น้ำมามากเกินจนเขื่อนแตกได้

มนุษย์ร้อน เลยสร้างแอร์ แต่เพราะแอร์เช่นกัน ที่ทำให้โลกร้อนขึ้น

ดูเหมือนจะควบคุมอะไรได้ แต่นับวันก็ยิ่งสูญเสียการควบคุม

การปกครองก็เช่นกัน

"เผด็จการ" อาจดูเป็นอะไรที่คุมทุกอย่างไว้ในมือได้ดีที่สุด

แต่วันหนึ่งมันก็จะพังทลาย

จิ๋นซีฮ่องเต้ ควบคุมคนนับแสนสร้างกำแพงเมืองจีน

แต่หลังจากยุคของพระองค์ ราชวงศ์ก็ล่มสลาย เพราะประชาชนทนการกดขี่ไม่ไหว

อังกฤษ พยายามจะควบคุมอาณานิคมอเมริกาให้อยู่หมัด
สุดท้ายก็ไม่สามารถต้านทานกองทัพอเมริกาได้ในที่สุด

ฮิตเลอร์ หวังจะควบคุมโลกทั้งโลก แต่จุดจบก็จบที่การฆ่าตัวตายในห้องลับ

มาร์กอส คุมฟิลิปินส์ยาวนานนับ 10 ปี ภายใต้การหนุนหลังของอเมริกา สุดท้ายก็โดนประชาชนขับไล่

บุชคนลูก อยากคุมอิรักไว้ในมือ สุดท้ายก็ต้องค่อยๆ ถอนทหารออกไป

และนโยบายก็เปลี่ยนเมื่อบารัค โอบามาเป็นประธานาธิบดี

สุดท้ายแล้ว มนุษย์ต้องยอมรับว่า จริงๆ เราคุมอะไรไม่ได้หมดทุกอย่าง

เราไม่ได้เกิดมาเป็น "ทุกอย่าง"

เราเกิดมาเป็น "บางอย่าง" เพื่อผลกระทบต่อ "ทุกอย่าง"

คนที่อยากเป็น "ทุกอย่าง" จึงมีชีวิตที่สุดจะเหนื่อย เพราะต้องทำ "ทุกอย่าง"

แต่คนที่รู้ว่าตัวเองเป็น "บางอย่าง" ก็ทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

สิ่งที่ทำไม่ได้ ให้คนที่เค้าทำได้ทำไป

พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน

ยิ่งควบคุม ก็ยิ่งเสียการควบคุม

เสียอย่างแรก คือเสียการควบคุมตัวเอง

ควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็คิดไปได้เรื่อยๆ ว่าคนนั้นจะเป็นอย่างนั้น คนนี้จะเป็นอย่างนี้

ลืมคิดไปว่า แล้วตัวเราเองตอนนี้เป็นยังไง

เสียอย่างที่สอง คือคนเสียศรัทธา

ผู้ที่เดินตามคนอื่นด้วยศรัทธา แปลว่าเค้าใช้จิตอิสระ (Freewill) ของเค้าในการเดินตาม

แต่เมื่อเค้าสัมผัสได้ว่า ผู้ที่เค้าเดินติดตามเริ่มรุกล้ำพื้นที่ Freewill ของเค้า ศรัทธาที่สั่งสมมาจะเริ่มสูญเสีย

ถ้าคนๆ นั้นจิตสำนึกผิดชอบดี ก็คงแค่ถอนตัวไปแบบเงียบๆ ไม่ขอตามอีก

แต่ถ้าคนๆ นั้นสั่งสมความแค้นไว้ด้วย ก็คงได้ประหัตประหารกันไม่รู้จักจบ

"สุดท้ายแล้ว มนุษย์ต้องยอมรับว่า จริงๆ เราคุมอะไรไม่ได้หมดทุกอย่าง"

ผู้ปกครอง เป็นเรื่องของหน้าที่ มีขึ้น ก็มีลงได้

แต่ "สาวกพระเยซู" คือตัวตนของเรา ที่อยู่กับเราจนวันสุดท้ายบนโลกนี้

พระคริสต์ครอบครองหัวใจ เราก็ควรครอบครองหัวใจ

หัวใจ ใช้อะไรขับเคลื่อนก็ไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ความรัก

เลิกควบคุม และให้พระคริสต์ครอบครองเถิด

เพราะยิ่งควบคุม ก็จะยิ่งสูญเสียการควบคุม

2 ความคิดเห็น:

  1. แหม อ่านแล้ว ให้ชวนนึกถึงข้อพระคัมภีร์บางข้อ ขอยกมาประกอบด้วยจิตอิสระนะครับท่าน

    สุภาษิต 27:23 จงรู้ความทุกข์สุขของฝูงแพะแกะของเจ้าให้ดี และจงเอาใจใส่ฝูงโคของเจ้า

    สุภาษิต 28:16 ผู้ครอบครองที่ขาดความเข้าใจก็เป็นผู้บีบบังคับที่ดุร้าย

    ปัญญาจารย์ 7:7 แท้จริงการกดขี่ข่มเหงกระทำให้ผู้มีสติปัญญาโง่ไป

    ไม่รู้จะสรุปได้ไหมว่า ผู้ครอบครองที่ขาดความเข้าใจ ก็คือคนที่ไม่รู้ความทุกข์สุขของคนภายใต้จริงๆ แทนที่จะมอบแอกที่พระเจ้ามอบให้ ซึ่งพอเหมาะ กลับกลายเป็นแอกที่หนักเกินไป กลายเป็นการบีบบังคับที่ดุร้ายอย่างสุจริตใจ กระทำให้คนภายใต้ไม่อาจเรียนรู้สิ่งที่สำคัญพื้นฐาน นั่นคือ การรู้จักตัวเอง ดังนั้นแล้ว ใครมาอยู่ภายใต้ ไม่ช้าไม่นาน ความโง่คงบังเกิด สุดท้าย ผู้ครอบครองนั้น จะยิ่งแย่หนัก เพราะรอบตัว เต็มไปด้วยที่ปรึกษาและทีมงานที่ไร้ซึ่งปัญญา (wisdom)...

    คงไม่ต้องบอกบทสรุปว่า ผู้ครอบครองคนนั้น จะเหลือสิ่งใดให้ครอบครอง

    ตอบลบ
  2. อันนี้ ใช้ความปากเสียได้ถึงพริกถึงขิงได้ดีกว่านะคะ

    ทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกันเสมอนะ
    เมื่อก่อร่างอะไรไว้ ก็จะมีผลต่อตัวเองและต่อคนรอบข้างในไม่ช้า

    อธิษฐานเผื่อกันเถอะ
    ท่านนักอธิษฐาน

    ตอบลบ